สมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดลสมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดลสมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล

เปลี่ยนอาหารให้เป็นยา

บทความสาระน่ารู้ โดยสมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย

เปลี่ยนอาหารให้เป็นยา เปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดี โดย นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์

 

เรียนท่านนายกสมาคมศิษย์เก่าบัณฑิตวิทยาลัย ท่านอุปนายก ท่านกรรมการบริหารสมาคมฯ ทุกท่าน รวมทั้งทุกๆ ท่านที่สนใจในการบรรยาย ในหัวข้อเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา เปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดี วันนี้รู้สึกดีใจและอบอุ่นเป็นพิเศษที่ได้กลับมาบ้านเก่าคือตัวผมเองจบมหิดล จบคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในการบรรยายที่อื่นๆ ก็ดีใจอยู่แล้วครับ ที่ได้มีโอกาสเผยแพร่ความรู้ ที่เป็นความรู้ที่ได้จากการทดลอง ค้นคว้า ด้วยความตั้งใจดีต่อผู้ป่วยทุกคน ยิ่งมาบรรยายที่มหิดลก็รู้สึกดีใจเป็นพิเศษที่ได้กลับมาพบปะพี่ๆ น้องๆ รวมทั้งพบปะกับครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ ปกติผมบรรยาย ผมจะไม่ได้นั่งนะครับ ไม่ใช่เพราะลมมันเย็น เพราะว่าเป็นนิสัยจริงๆ เพราะว่าตอนเรียน ผมเป็นนักเรียนที่เรียนแล้วหลับ เวลานั่งแล้วหลับ ก็เลยต้องใช้ยืนบรรยาย วันนี้ก็จะขออนุญาตถ่ายทอดเรื่องราว ที่ได้ประสบกับตัวเองมาเจ็ดปี ในฐานะเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง ที่ป่วยด้วยโรคที่จะบรรยาย ก็คือกลุ่มโรค NCD ซึ่งกลุ่มโรค NCD ก็เป็นภัยคุกคามไม่ใช่เฉพาะคนไทย เป็นกับคนทั่วโลก ซึ่งโรคเหล่านี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม แต่เราก็ยังสู้มันไม่ได้อยู่ดี เพราะอะไรครับ พฤติกรรมที่เราทำมันเป็นพฤติกรรมที่เราชอบ มันติดจนเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นผมเองก็ต้องพยายาม อย่างแรก ก็ต้องพยายามสู้กับพฤติกรรมของตัวเองก่อน ที่ตัวเองป่วย เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ฉะนั้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้วก็เป็นผู้ป่วยโรค NCD สมบูรณ์แบบ คือเป็นทั้งโรคอ้วน โรคเบาหวานโรคความดัน โรคไขมันแทรกตับ ตับอักเสบ แล้วก็เลือดข้น น้าหนักตัวก็เกือบ 120 กิโลกรัม

เรื่องที่ผมเจ็บป่วย ก็เป็นเรื่องที่เราพบกันเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันนี้โรค NCD เป็นสาเหตุของการพิการและเสียชีวิตถึงเจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์ นับเฉพาะประเทศไทย และยิ่งประเทศที่เจริญแล้วอัตราส่วนพวกนี้กลับเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นภัยคุกคามอันนี้ เป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งกับสุขภาพของคนไทยและคนทั่วโลก วันนี้เป็นโอกาสดีที่ผมได้ประกาศเจตนารมณ์อีกครั้งหนึ่ง ที่จะทำให้โรค NCD ในประเทศไทยลดลง ผมได้มีโอกาสไปออกรายการเจาะใจเมื่อวันที่ 24 เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์แล้วว่า อยากจะทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในโลก ที่โรค NCD ลดลง ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ประเทศมหาอำนาจที่เขามีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ทางด้านการแพทย์มากกว่าเรา เขายังทำไม่สาเร็จ แต่ทำไมผมใฝ่ฝัน ที่จะทำให้โรค NCD ในประเทศไทยมีโอกาสลดลง และตัวผมเองก็ได้ประกาศความมุ่งมั่นก็คือได้ตั้งมูลนิธิขึ้น ชื่อมูลนิธิเวลเนสแคร์ เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยไตเสื่อม คือต้องโยงโรคที่คนกลัว เข้ามาก่อน คือผมเปลี่ยนตัวเองได้ ที่เจ็บป่วยทีหนึ่ง ห้า หกโรค ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็ทำ แต่ก็อาศัยความกลัวความกลัวที่จะพิการยอมเปลี่ยนตัวเอง พอเปลี่ยนตัวเองได้ อัศจรรย์เกิดร่างกายของคนเรา เรียกว่าเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก เพราะว่าสิ่งที่สร้างร่างกายเรา สร้างทั้งโลกนี้และจักรวาลนี้ ก็คือธรรมชาติได้ออกแบบระบบของเราไว้อย่างดี ให้ร่างกายเราซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ที่ร่างกายเราซ่อมแซมตัวเองไม่ได้ เพราะว่าเราไปขัดขวางมัน เราเอาอะไรไปขัดขวาง ก็คือกิเลสของเรานั่นเอง กิเลสทำให้เราเกิดทุกข์ เกิด ความเครียด กิเลสทำให้เรากินตามที่เราอยากกิน ไม่กินตามที่ควรจะกิน กิเลสทำให้เราใช้ชีวิตสุขสบายเกินไป จนเราสะสมโรคต่างๆ ขึ้นมา พวกนี้ก็เลยเป็นตัวขัดขวางกระบวนการของร่างกายที่จะฟื้นฟูตัวเอง ผมเองถ้าไม่กลัวพิการก็คงไม่ยอมเปลี่ยน พอเปลี่ยนปุ๊บก็เอาอุปสรรคที่ร่างกายจะฟื้นฟูตัวเองออกไป ปรากฏว่าเกิดความอัศจรรย์เกิดขึ้น ซึ่งตอนเรียนก็รู้คร่าวๆ นะว่าทำแล้วดี แต่ไม่เคยทำต่อเนื่องติดต่อกัน ทนทำอยู่เดือนหนึ่ง ปรากฏว่าสามารถเปลี่ยนจากความกลัวเป็นศรัทธาได้ เพราะว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงเห็นผลสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เบาหวานที่เคยน้าตาลเกือบสามร้อยซึ่งจะต้องทานยาสอง ขนานร่วมกัน ไม่ต้องทานสักเม็ด ก็ลงมาเกือบปกติ และทำต่อมาอีกสามเดือน ก็ลงมาปกติ น้าหนักตัวหายไปเกือบสามสิบกิโลในช่วงเวลาสี่เดือน ความดันโลหิตเคยสูงมากก็ลงมาปกติ ไขมันแทรกตัว ค่า SGOT ขึ้นไป 172 ลงมาเหลือ 18 เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่กลับด้านหมด หลังจากนั้นก็ไม่ดำรงชีวิตด้วยความกลัว ดำรงชีวิตด้วยศรัทธา แล้วก็เปลี่ยนศรัทธานี้เป็นพลัง คือตัวเองหลุดมาได้แล้ว ก็อยากให้คนไทยทั่วประเทศมีโอกาสหลุดด้วย แต่ไปชวนคนไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะเวลาเราชวนมาทำเรื่องสุขภาพ ส่วนใหญ่เขาจะดูว่าว่างไหม แต่ถ้าชวนคนไปเที่ยวจะตอบก่อนเลยว่าว่างทันทีแล้วไปเคลียร์ธุระออก แต่ถ้าชวนมาเรื่องสุขภาพนะ เคลียร์จนไม่มีอะไรแล้วนะครับ ตอบว่าว่าง แต่พอถึงเวลาติดธุระนะครับไปธุระก่อน ฉะนั้นเรื่องให้คนรักสุขภาพเป็นเรื่องยากมากเลย

คนไทยจะเริ่มรักสุขภาพตอนไหนทราบไหมครับ ไม่ใช่แค่ป่วยนะครับ รู้ว่าป่วยยังไม่รักนะครับ ต้องเจ็บปวด โอดโอยทนไม่ไหวแล้ว ทรมานเลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นระยะสุดท้ายหมดเลย เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่า ระยะเกินขั้นจะเยียวยา วันนี้ก็อยากเชิญชวนพี่ๆ น้องๆ ให้มาร่วมลองเปลี่ยนดู สิ่งที่ผมชวนให้เปลี่ยนง่ายมากเลย คืออาหารทุกคาที่เรารับประทาน เราสามารถให้มันทำหน้าที่ นอกจากความเป็นอาหาร เพื่อทำให้เราดารงชีวิตได้ อยากให้มันทำหน้าที่เป็นยาได้อีกด้วย แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติม ไม่ต้องกินอาหารสองอย่าง อันนี้อาหารยา อันนี้อาหารที่เรากิน อย่างเดียวกันเลยครับ แล้วข้อสาคัญมันเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยด้วย คือผมพยายามออกแบบการใช้ชีวิตให้มันเรียกว่าดีที่สุด เปลี่ยนตัวเองน้อยที่สุด เพราะตัวเองจริงๆ ใจก็ไม่ค่อยอยากเปลี่ยน ยังอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำอยู่ ก็เรียกว่าเดินทางสายกลางทำยังไงให้เราเปลี่ยน แล้วไม่คิดว่าต้องเปลี่ยน ไม่คิดว่าเราต้องทำ สามารถเป็นความรู้สึกว่าทำเพราะอยากทำ ซึ่งวันนี้ก็ได้แบบแผนที่ลงตัวมากๆ ที่จะมาแนะนำให้กับพี่ๆ นะว่า เราจะเปลี่ยนอาหารให้เป็นยายังไง

ผมทำมาได้หลายปี จนมีผู้ที่ทำตามเป็นจานวนมาก ก็เมื่อสักสองปีที่แล้ว ได้ก่อตั้งมูลนิธินี้ขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่าปัจจุบันนี้สาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทยก็คือโรคมะเร็ง สาเหตุที่ทำให้คนจะพิการมากที่สุดก็คือโรคไตเสื่อม เพราะคนไทยไตเสื่อมอยู่แปดล้านกว่าคน ถ้าคนแปดล้านกว่าคนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับประเทศไทย เพราะคนแปดล้านคนมาจากแปดล้านครอบครัว ซึ่งกินเข้าไปครึ่งประเทศประเทศเราจะเป็นประเทศเป็ดง่อยเลยนะครับ ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีแต่คนพิการหมด อันนี้ก็เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่แต่ด้วยกาลังเพียงคนเดียวก็มิอาจที่จะทำเรื่องพวกนี้ได้สาเร็จ ก็เลยได้ก่อตั้งมูลนิธิขึ้น แล้วก็ได้ผู้ที่มีจิตศรัทธาจากผู้ป่วยเป็นหลักมาฟังผมบรรยายเวลาผมบรรยายก็ไม่ได้เก็บเงิน ก็ใช้บริจาคแล้วก็เงินบริจาคนี่มาทำเรื่องกิจกรรมต่อ นะครับ ก็สามารถทำมาได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งๆ ที่แต่ละครั้งนี่ก็ใช้เงินมากกว่าแสนบาท ก็ทำมาได้ทั้งหมด สิบหกครั้ง ในครั้งต่อๆ ไปนี้ก็จะกลับมาที่ อ.บางไทรจ.นครศรีอยุธยา เพราะว่าคนสามารถเดินทางมาได้สะดวก แล้วก็มีที่พักรองรับเป็นจานวนมาก เลยกลับมาประหยัดให้มูลนิธิเดือนละแสนกว่า แล้วก็ทำอีกเรื่องหนึ่งเป็นโครงการระดับประเทศและเป็นการทำเชิงรุกมากๆ ก็คือเขียนบทความเปลี่ยนอาหารให้เป็นยาเป็นคู่มือ วันนี้นามากราบเรียนฝากท่านกรรมการสมาคมศิษย์เก่าจำนวนสี่สิบเล่ม เพื่อไว้เป็นแนวทาง แล้วก็ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากศิษย์เก่ามหิดล มอบให้กับกรรมการสมาคม ฯลฯ

ส่วนเล่มที่สี่นี้ก็จะพยายามตั้งใจครับ หลังเมษายนก็จะเขียนให้เสร็จ เพราะว่าที่เวลเนสซิตี้ที่ผมอยู่เป็นเมือง เมืองหนึ่งมีพื้นที่พันสองร้อยไร่ กำลังจะทำให้เป็นเมืองที่พึ่งสาหรับทุกคน ที่รักสุขภาพทั้งหลายได้เป็นที่เลือก ที่จะอยู่ ในวัยที่เราอาจจะต้องพึ่งพาคนอื่น ซึ่งไม่สามารถพึ่งพาลูกหลานได้ อันนี้ไม่ได้แปลว่าลูกหลานไม่กตัญญูนะ เพราะว่าส่วนใหญ่ปัจจุบันสังคม เราก็รู้ๆ ว่า ลูกหลานก็ต้องดูแลครอบครัวเขาเหมือนกัน ก็เอาไว้เป็นที่พักพิงนะครับ สาหรับคนที่คิดว่าเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา เปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดีเหมาะสม สาหรับแต่ละท่านในแต่ละเทศกาลสำคัญ อย่างที่เทศกาลเพื่อครอบครัว หนึ่งถึงสิบสี่เมษายน ก็จะมีอยู่ในเอกสารที่แจกก็เรียนเชิญพี่ๆ ทุกคน มีโอกาสก็แวะไปเยี่ยมเยียน เรามีกิจกรรมดีๆ เยอะมาก ที่จะเกิดขึ้นในสิบสี่วัน อันนี้ก็จะเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่กำลังจะเขียนให้เสร็จ หลังเดือนเมษายน หลังจากผ่านเทศกาลเพื่อครอบครัวแล้วหนังสือ
เล่มนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกับที่จะมาบรรยายในวันนี้ ก็คือเรื่องของเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา เปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดี

ทำไมถึงต้องใช้ยุทธศาสตร์นี้ เพราะว่าโรค NCD เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยถึง 73% ถ้าสามารถลดอุบัติการณ์ การเกิดโรค NCD ลงได้ คนไทยทั่วหล้าก็จะสุขภาพดี โรงพยาบาลก็จะโล่งลงครึ่งหนึ่ง เพราะผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล แล้วก็ไม่ต้องใช้งบประมาณของประเทศในการดูแล เพราะคนจะกลับไปดูแลตัวเองได้ ถ้ารู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เรื่องวันนี้ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่วันนี้มาพูดท่ามกลางมหาบัณฑิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องจบวิทยาศาสตร์ด้วย จบสาขาไหน ก็สามารถนาความรู้นี้ไปใช้ได้เลย ก็หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับพี่ๆ ทุกคนที่ได้สละเวลามาฟังในวันนี้ เรื่องของการเปลี่ยนอาหารเป็นยา นอกจากกำหนดยุทธศาสตร์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ว่าจะทำให้คนไทยลดลงด้วยการรู้จักรับประทานอาหาร ให้อาหารเป็นยา ซึ่งถ้ามันเข้าถึงทุกครัวเรือนได้ ประเทศไทยเปลี่ยนจริงๆ แล้วจะเป็นประเทศแรกในโลกด้วยที่เปลี่ยนได้ เพราะว่าอะไรทราบไหมครับ อาหารไทย เราเป็นอาหารสมุนไพร อาหารต่างประเทศที่เป็น Western จริงๆ เป็นอาหารป่วยทั้งนั้นเลยนะครับ เพราะเขาพัฒนาล้าหน้ากว่าเราไปไกลเขาพัฒนาจนเป็นอาหารแปรรูปเกือบทั้งหมด ของเรายังรับประทานอาหารดั้งเดิม ซึ่งมาจากธรรมชาติแท้ๆ มันมีความเป็นยาสูงมาก แล้วเราก็ละทิ้งอาหารไทย เรากาลังไปเอาอารยธรรมทุกเรื่องของตะวันตกมา อารยธรรมเรื่องการทานอาหาร แล้วเราก็รับโรคของเขามาด้วย แล้วเราก็ไปซื้อยาเขามากิน เราจะเป็นลูกค้าเขาตลอดชาติ ไม่มีวันผุดวันเกิดเลย

“ถ้าเราเปลี่ยนใหม่ เอาอาหารไทยซึ่งมีประโยชน์กับคนไทย กลับมาเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ก็จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก”นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์

วันนี้เลยมาบรรยายแล้วก็ขอเชิญชวนพี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน สิ่งแรกที่ผมจะใช้นะครับ ขออนุญาตใช้คำว่าร่วม ก็คือดึงองค์กรศาสนา จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะศาสนาพุทธนะครับ แต่เนื่องจากว่าผมเป็นชาวพุทธก็เลยต้องเริ่มที่ศาสนาพุทธก่อน เพื่อจะใช้กำลังศรัทธาจากผู้ที่ศรัทธา โดยเฉพาะเจ้าอาวาสในแต่ละวัด ตั้งเป้าหมายไว้หนึ่งพันวัด ที่จะเอาวัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ หลายคนบอกไปยุ่งกับพระ พระท่านก็มีกิจของสงฆ์เยอะอยู่แล้ว ก็จะมีสงฆ์หลายรูป ท่านเห็นประโยชน์เหมือนกัน เหตุผลที่ท่านเห็นประโยชน์เพราะท่านก็ป่วย และเดี๋ยวนี้พระสงฆ์ไทยป่วยมากกว่าฆราวาสจนเตียงไม่พอนอน ในโรงพยาบาลสงฆ์ ทำไมพระจึงป่วยมากกว่าฆราวาส พระไม่เครียด ฆราวาสเครียด เดี๋ยวนี้พระก็เครียด แล้วพระถูกประเคนด้วยอะไรครับ ด้วยอาหารคาวและหวาน จึงทำให้พระป่วยมากกว่าฆราวาสอีก เพราะอาหารหวานคือตัวทำให้พระป่วย แล้วญาติโยมประเคนแต่ของคาว ถ้าไม่ประเคนของหวาน รู้สึกว่าไม่ครบเครื่อง วันนี้ฟังบรรยายจบ ท่านเปลี่ยนอาหารที่จะถวายพระได้เลย

การนำโครงการนี้เข้าสู่วัดโดยเริ่มต้นจากวัดที่ท่านเจ้าอาวาสท่านใช้ทดลองวิธีการที่ผมเปลี่ยนตัวเอง แล้วท่านก็ดีขึ้นจนหายเหมือนกัน อย่างเช่น วัดเกตุม เป็นวัดใหญ่อยู่ที่ริมถนนพระรามสองตรงมหาชัย ท่านก็ได้อุทิศเนื้อที่ของวัดมาร่วมโครงการ มีพระจากทั่วประเทศมาเข้าปริวาส มีญาติโยมเยอะแยะที่ร่วมกิจกรรมนี้ แล้วท่านก็ใช้พื้นที่แปดไร่มาทำโครงการเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา โดยทำการปลูกผัก อันนี้ก็ได้จัดทำไปได้ประมาณสองเดือน เป็นรูปธรรมขึ้นมาก ปัจจุบันนี้ก้าวหน้ากว่านี้ไปเยอะ เป็นการปลูกผักในโรงเรือน แล้วโรงเรือนที่ใช้ก็เป็นโรงเรือนที่ใช้วัสดุในพื้นที่ แต่ว่าก็ต้องใช้สิ่งช่วยเหลือที่ทำให้ผักนี้เป็นผักสะอาด น่ากิน ไม่ถูกหนอนและแมลงรบกวน เลยต้องทำเป็นโรงเรือน โรงเรือนนี้ก็ผลิตได้ง่ายๆ เริ่มต้นทางมูลนิธิผลิตให้ทางวัดก่อน เป็นต้นแบบ แต่สิ่งที่สาคัญมากคือการควบคุมดิน การจะเป็นผักอินทรีย์ได้ ดินต้องสะอาด ถ้าเราเริ่มต้นจากดินที่ไม่สะอาดแล้ว มันจะเป็นผักอินทรีย์ไม่ได้เลย แล้วเดี๋ยวนี้ ดินสะอาดในประเทศไทย หายากมาก ต้องไปเก็บจากป่าเขา ซึ่งใช้จานวนไม่มาก รวมทั้งน้าด้วยต้องเป็นน้าสะอาดเหมือนกัน จะใช้ในปริมาณไม่มากแล้วก็ใช้ซ้าได้ ยังต้องคอนโทรลโรคและแมลง โดยใช้วิธีกางมุ้งและปรับแสงจนสามารถใช้แรงงานน้อยเพื่อให้ต้นทุนผลิตต่ำ โดยการปรับวิธีการ คือ ระบบการให้น้ำอันนี้ก็จะเป็นต้นแบบให้วัดนำไปใช้ แล้ววัดก็จะได้รับประทานผักอินทรีย์จริงๆ นี่คือตัวอย่างที่ปลูกผัก ใช้เวลาแค่ 35 วัน ก็จะได้ผักที่พร้อมรับประทาน ท่านพี่ๆ น้องๆ คนไหนสนใจ ไปเรียนรู้ได้ที่เวลเนสฟาร์มที่บางไทร เป็นศูนย์เรียนรู้ที่จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เรียบร้อยแล้ว  มีพื้นที่จริงแล้วก็มีตัวอย่าง มีการใช้หมดเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะเปลี่ยนอาหารให้เป็นยาได้ ต้องเริ่มต้นที่อาหารสะอาดเพราะถ้าอาหารไม่สะอาดกลับทำให้เราเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังต้องคอนโทรลให้ปราศจากโรคและแมลง โดยใช้วิธีปลูกผักกางมุ้ง และปรับแสงให้พอเหมาะกับการเพาะปลูกผัก ปรับระบบให้น้ำโดยไม่ต้องเปิดปิดก๊อกน้ำ วิธีการเพาะปลูก โดยทำแปลงที่จะใช้เพาะปลูกผักให้สูงพอเหมาะกับการยืนทำ ไม่ต้องนั่งทำ

ผลที่ได้กินอร่อยกว่าผักไฮโดร (ผักปลูกในน้ำ)  เพราะว่าได้แร่ธาตุที่สมบูรณ์มาก เพราะปลูกในดิน ซึ่งสามารถคอนโทรลโรคแมลง และสิ่งแวดล้อมได้หมดเลย และข้อสำคัญ ต้นทุนถูก ผลิตต่อหน่วยถูกมากเลย อันนี้เป็นที่บางไทร เริ่มต้นมาสี่เดือนก่อนวัดเกตุมแค่สองเดือน ก็เริ่มต้นจากที่รกร้าง เราก็พัฒนาจากที่รกร้างในโครงการ จนมาเริ่มสร้างโรงงาน คราวนี้ก็จะเป็น อาจารย์คำรณ บริสุทธิ์ คือท่านก็เชี่ยวชาญเรื่องของการประยุกต์ดัดแปลง เอาวัสดุต่างๆ มาใช้ ทั้งใช้ไม้เบญจพรรณมาทำและปรับสภาพดินอีก  ก็เป็นสถานที่ศึกษาดูงานของหลายๆ ที่ ตอนนี้ก็มีวัดทั่วประเทศสมัครเข้ามาจนทำโครงการไม่ทัน ที่ทำไม่ทันเพราะอะไร หาเงินไม่ทัน วันที่สี่เมษายนนี้ก็เลยจัดคอนเสิร์ต พอดีได้คุณแอ๊ด คาราบาวช่วย ก็จัดคอนเสิร์ตที่เวลเนสซิตี้ ถ้าท่านใดเป็นแฟน แอ๊ดคาราบาวก็เรียนเชิญ หรือไม่ใช่แฟน แต่ว่าอยากช่วยมูลนิธิ ก็ซื้อบัตรได้ บัตรพิมพ์เสร็จแล้ว บัตรวีไอพีก็สองพันบาท พร้อมอาหารสุขภาพเต็มที่หมดเลย

ทำทั้งเป็นศูนย์เรียนรู้แล้วก็เป็นต้นแบบในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องใช้วัสดุพื้นที่ ใช้เหล็กกัลวาไนต์ เหล็กแป๊บ รวมทั้งวิธีการปลูกใส่ถุง ใครมีพื้นที่ตรงไหนก็ปลูกได้หมด ข้างที่จอดรถ บนหลังคาตึกแถว สามารถประยุกต์ไปดัดแปลงได้หมด เพราะจริงๆ แล้ว พวกพืชผักไม่ต้องการดินเยอะ มันต้องการดินแค่เกาะไม่ให้มันล้มแค่นั้นเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้ดินเยอะ แต่ในอดีตเราเข้าใจผิด ต้องใช้ที่ดินกว้างๆ ใหญ่ๆ เรามีโรงเรือนผลิต มีการสอนตั้งแต่เพาะกล้าขึ้นมาเลย เป็นต้นอ่อนสำหรับผักอินทรีย์ ได้แก่ ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง เป็นต้นเป้าหมายที่สำคัญของโครงการ คือถ้ามีวัดที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะๆ อย่างวัดเกตุมนี่มีลูกศิษย์ประมาณห้าหมื่นวัดทั่วประเทศ อาจจะมีสักหมื่น ถ้าได้พันวัดจะมีคนเข้าร่วมอยู่สิบล้านคน แล้วเป็นสิบล้านที่เป็นพลังบุญพลังศรัทธา สามารถพลิกสุขภาพของคนไทยได้

ต่อมาก็จะพูดถึงเรื่องสำคัญที่ว่า โรคที่ทำให้เราเจ็บป่วยก็คือกลุ่มโรค NCD นั่นเอง  โรค NCD ก็คือโรคที่ไม่ติดต่อ (เรื้อรัง) non-communicable diseases ซึ่งผมไม่แปลแบบนั้น ผมเป็นคนที่ชอบแปลแล้วเอาเรื่องเอาราวให้มันหาย ก็คือเป็นโรคที่คุณสร้างเอง ฉะนั้นถ้าเราสร้างเองได้ เราก็ทำให้มันหายได้ แล้วผมก็แบ่งกลุ่มโรคตามประสาผมเป็นกลุ่มเสื่อมกับกลุ่มเพี้ยน กลุ่มเสื่อมเป็นพวกเบาหวาน ความดัน ไขมัน พวกนี้ก็กินยาสารพัดสุดท้ายก็ไตเสื่อม ตาบอด อัมพฤกษ์ อัมพาตแล้วก็เสียชีวิต  กับอีกกลุ่มคือกลุ่มเพี้ยน เพี้ยนนี่อะไรเพี้ยน โปรตีนเพี้ยน ก็ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิแล้วก็เกิดมะเร็งขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสองร่วมกัน ก็เป็นโรคที่ครอบคลุมสาเหตุการพิการและเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของคนไทยอยู่ทุกวันนี้ โรคดังกล่าวนี้ ทำไมจึงไม่หาย เพราะเป็นโรคที่เราสร้างเอง เราไม่หยุดสร้างมันก็ไม่หาย ตัวนี้ถ้าเราจะให้หายได้ เราต้องทำอย่างไร ขออนุญาตไปเร็วนิดหนึ่ง เพราะว่าอันนี้ผมสอนสามวัน แต่เนื่องจากว่าพี่ๆ เป็นบุคคลอัจฉริยะ สามวันเหลือสองชั่วโมง อาจจะต้องไปเร็วหน่อย เพราะหลายที่ส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แล้ว อันนี้ก็เป็นตอนที่เจ็บป่วยเต็มที่เป็นครบหมดทุกโรค ก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง เพราะถ้าไม่เปลี่ยนตัวเอง ต้องไปนอนโรงพยาบาล  (ผู้บรรยายเคยมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง ชื่อ โรงพยาบาลราชธานี อยู่ที่อยุธยา ปัจจุบันเข้าตลาดหลักทรัพย์ และขายหุ้นไปหมดแล้ว และกลับมาทำเวลเนสซิตี้ ซึ่งเป็นที่ให้รางวัลชีวิตของตัวเอง)

วันนี้จะไม่ได้มาพูดเรื่องอ้วน แต่ว่าจะมาพูดเรื่องสิ่งที่สำคัญมากก็คือการเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา  การเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา โดยใช้หลักนี้ คือ หลักอาหารห้าหมู่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นหลักมาตรฐาน แล้วก็ เรียกว่าท่องจำกัน สืบเนื่องต่อๆ กันมา ซึ่งคนที่จบการแพทย์ไม่ต้องถามหรอก ทุกคนคุ้นเคยหมด แต่ตัวเองก็ป่วยครบทุกโรคเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลักอาหารห้าหมู่ จึงไม่ใช่หลักปฏิบัติ แต่เป็นหลักทฤษฎีที่เอาไว้สอน ถ้าเราจะสอบมหาวิทยาลัยชีวิต เราไม่ได้สอบเพื่อเอาคะแนน แต่เราต้องสอบเพื่อให้หาย การให้หายได้ มันจะต้องเป็นหลักที่ง่าย แล้วก็ไม่ต้องประยุกต์ จำเอาไปใช้เลย และเรื่องหลักอาหารห้าหมู่ มันเป็นหลักทฤษฎีที่ท่านจำแล้วต้องไปประยุกต์อีกหลายครั้งกว่าจะรับประทานและเปลี่ยนอาหารให้เป็นยาได้ การจะเปลี่ยนอาหารให้เป็นยาได้ จะต้องใช้หลักอาหารสิบสองกลุ่ม แล้วพวกนี้ถ้าจำได้แล้วลงมือทำ ท่านก็หายเลย เป็นการย่นย่อระยะทางไปเยอะ เพราะว่าต้องการครอบคลุมทั้งประเทศ รวมทั้งบุคคลชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ซึ่งก็ง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็ยังต้องใช้ความพยายามอีกมาก ซึ่งมาพูดในที่นี่คงสามารถไปได้เร็วว่า ในการแบ่งกลุ่ม จะเอาอะไรเป็นหลักเกณฑ์ ก็คิด คือเรียงจากพลังงานน้อยไปหามาก เรียงให้จำง่ายๆ ถ้าอยากผอม กินกลุ่มหนึ่ง อยากอ้วนกินกลุ่มสิบสอง เพราะเรียงตามแคลอรี่

การเรียงตามแคลอรี่ มันก็มีสารอาหารสามประเภทมาเกี่ยวข้อง  หนึ่งก็คือกลุ่มแป้ง กลุ่มแป้งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก อาหารทุกชนิด ก็มีแป้งอยู่ ซึ่งจะให้สี่แคลอรี่ต่อหนึ่งกรัม แต่ถ้าเป็นกลุ่มโปรตีน ก็จะให้สี่แคลอรี่ต่อหนึ่งกรัมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มไขมัน ให้พลังงานสูงสุด หนึ่งกรัมให้เก้าแคลอรี่ อาหารกลุ่มที่ทำให้คนไทยอ้วนมากที่สุด กลับไม่ใช่ไขมัน ในยุคนี้ กลับเป็นพวกกลุ่มคาร์โบไฮเดรต กลุ่มแป้ง ฉะนั้นก็เลยเรียงลำดับตามนี้ เรียงตามแคลอรี่ที่อยู่ในแป้ง โปรตีนแล้วก็ไขมัน โดยเริ่มต้นจากอาหารกลุ่มหนึ่ง กลุ่มที่ไม่ให้พลังงานเลย ซึ่งกลุ่มนี้ ตัวพระเอกก็คือน้ำนั่นเอง ฉะนั้นถ้าใครอยากลดน้ำหนัก อยากลดเบาหวาน ความดัน ให้รับประทานน้ำก่อนอื่นๆ ซึ่งอาจจะผิดหลักการของศาสตร์บางศาสตร์ ห้ามกินน้ำก่อน เดี๋ยวน้ำย่อยจาง แต่จีนเป็นล้านคน กินข้าวต้มทุกวัน เอาข้าวผสมน้ำ กินน้ำซุป ไม่ได้ทำให้น้ำย่อยจาง  แต่พอกินน้ำ ทำให้เราโดนหลอกให้อิ่ม ถ้ากินน้ำสองแก้วเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ห้าร้อยซีซี แน่นอนน้ำหนักขึ้นมาครึ่งกิโลเลย  แต่ผ่านไปสองชั่วโมงฉี่ทิ้ง น้ำหนักก็ลงแล้ว แต่ว่าเราถูกหลอกให้อิ่มไปแล้ว อิ่มแบบไม่มีพลังงาน แต่ว่าอิ่มแบบมีประโยชน์

หลักง่ายๆ ให้ย้ายเวลากินน้ำ คุณก็มากินชิดๆ กับที่เราจะกินอาหาร ทำให้เราลดความอยากอาหารลง เพราะส่วนใหญ่เวลาเราคุมอาหารไม่ได้ มันเกิดจากความหิว พอหิวเราก็บรรเจิดไปเรื่อยนะ คิดนู่นคิดนี่ พออิ่มปุ๊บ ความบรรเจิดก็จะลดลง และแถมได้อาหารที่มีประโยชน์อีก วันหนึ่งกินสิบสองแก้วเหมือนเดิม แต่ให้ย้ายเวลากิน ฉะนั้นจะสำเร็จได้ต้องใช้ยุทธศาสตร์หลายเรื่อง ใช้ของเดิม มาเปลี่ยนเวลาที่กินหน่อย คือกินก่อนอาหารเสีย และนี่ก็จะมีอาหารในกลุ่มนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์มากมาย ก็คือพวกไฟเบอร์ ซึ่งไฟเบอร์ธรรมชาติก็จะมีอยู่ในอาหารอยู่แล้ว พวกกลุ่มผักและผลไม้ แต่ว่าไฟเบอร์ที่ปัจจุบันนี้ที่คนนิยมกิน เช่น หัวบุก เดี๋ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ออกมาเยอะ ก็ถูกหลอกให้อิ่มเหมือนกันเอาหัวบุกมาทำเป็นเส้นต่างๆ มาทำเป็นของกินไอ้นู่นไอ้นี่ หรือเป็นเจลลี่ คือพวกนี้ก็เป็นผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ แต่ว่าไม่ได้ถูกย่อย ก็ไม่ได้แคลอรี่ ฉะนั้นถ้าใครอยากจะลดโรค NCD ส่วนใหญ่โรค NCD ก็มาจาก น้ำหนักตัวเกิน มาจากเบาหวาน จากไขมันในเลือดสูง ก็กินไฟเบอร์ไปช่วยดัก เรื่องของแป้ง และน้ำตาล ดักไขมัน รวมทั้งลดน้ำหนักตัวได้ เนื่องจากไม่มีแคลอรี่ อันนี้ข้อแรกก็เลยแนะนำให้กินกลุ่มหนึ่ง ถ้าสำหรับคนที่น้ำหนักตัวเกิน สำหรับคนที่น้ำหนักตัวไม่เกินกลุ่มนี้ก็ไม่ต้องใช้เป็นลำดับแรกก็ได้

กลุ่มสอง จำง่ายๆ ไม่ใช่แค่ให้กินพืช ต้องให้แยกแยะพืชด้วย ว่าเราเอาส่วนไหนมากิน ปรากฏว่า ถ้าท่านกินใบ กินดอกมานี่ มันจะเป็นชิ้นส่วนที่มันมี แป้งต่ำสุด และก็มีไฟเบอร์สูงสุด พร้อมกับแร่ธาตุสารอาหารที่ครบ จากนี้ไปก็จะง่าย เราจำได้ว่า ถ้าเราอยากลดน้ำหนัก อยากลดไขมันในเลือด อยากลดเบาหวาน อยากลดความดันโลหิต ให้เรากินส่วนที่กินใบกับกินดอกเป็นส่วนใหญ่ เราก็จะได้อาหารที่มันควบคุมแคลอรี่ไปในตัว ไม่ได้แนะนำให้คำนวณแคลอรี่ เพราะว่าทำไม่ได้ในชีวิตจริง แต่ให้เปลี่ยนฟอร์มการรับประทานแทน เพราะว่าชาวบ้านไม่ต้องไปพูดถึงแคลอรี่ แค่พูดถึงคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันเขาก็ปวดหัวแล้ว ก็เลยให้จำไปเลยว่า ป้าลุง ถ้าจะลดเบาหวาน เอาพืชส่วนไหนมากินก่อน ก็ให้กินใบ กินดอกก่อน หลังจากนั้นว่าใบอะไรกินได้ ถ้าเป็นคนที่มีความรู้หน่อยก็ไปถามอากู๋เพิ่ม ว่าใบอะไรกินได้อีก ก็กดเข้าไปดูมีเยอะแยะ ไปหมดเลย กินไม่ไหว

กลุ่มสาม พวกนี้ก็มีแป้งเพิ่มเข้ามาอีกนิดหนึ่ง แต่ว่าก็ไม่ได้เพิ่มมากจนถึงขึ้นต้องควบคุมคือกลุ่ม 1, 2, 3 กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ตอนนี้ค่อยจำว่า ส่วนที่มันมีแป้งเพิ่มมากขึ้น จากใบกับดอก ก็คือพวกฝัก พวกผล พวกหัว ฝัก เช่น ตระกูลถั่ว ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วพู พวกนี้ก็ยังแป้งไม่เยอะ แล้วก็กลุ่มสองนี่ไม่ได้พูดถึงโปรตีนเลย กลุ่มสามนี่ก็ยังไม่พูดถึงโปรตีนอีก ซึ่งก็มีโปรตีนเหมือนกัน แต่ว่าร้อยละไม่เกิน สองถึงสามเปอร์เซ็นต์ เลยยกให้เป็นพระเอกเรื่องแป้งอย่างเดียว และก็เป็นกลุ่มที่แป้งไม่สูง แต่ว่ามากกว่ากลุ่มสองเล็กน้อย สำหรับกลุ่มถั่ว ถ้าเรากินเมล็ดมัน พวกนี้แกะเม็ด เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง เม็ดอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เม็ดทานตะวัน แม้กระทั่งเม็ดฟักทอง เม็ดก๋วยจี๊ ก็จะย้ายไปอยู่กลุ่มสิบเอ็ดเลย เพราะเป็นกลุ่มที่มีสามกษัตริย์คือ มีแป้ง โปรตีน และไขมัน ซึ่งจะให้แคลอรี่สูง อันนี้ยังไม่ได้เรียงตาม ควรกินไม่ควรกินในเรื่องอื่นนะ เราเรียงเรื่องของแคลอรี่ก่อน  ฉะนั้นก็ให้ท่านเข้าใจเรื่องแคลอรี่แบบง่ายๆ เพื่อจะได้คุมโรคกลุ่มพวกนี้ได้สะดวกขึ้น การกินฝักก็มีสารพัด อะไรที่มันกินฝักได้ ท่านก็ไปหารับประทานเอา

การกินผล ผลนี้ต้องให้รายละเอียดเพิ่ม หลักเกณฑ์ที่ใช้ ทำไมผลบางอย่างมันเป็นผัก ผลบางอย่างมันเป็นผลไม้ ใช้เกณฑ์อะไรทราบไหม เกณฑ์กินอร่อย ถ้ากินอร่อยกินเล่น เราเรียกผลไม้ถูกไหม ทำไมผลไม้จึงไปกินอร่อย กินเล่น เพราะว่ามันหวาน พวกนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล แต่ถ้าพวกผัก เช่น มะเขือ มันไม่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล มันจะไม่มีเอ็นไซม์ มะเขือเก็บมาหลายๆวัน เป็นมะเขือเน่าเลย มันไม่สุกและหวานใช่ไหม ใช้หลักบ้านๆ นี่แหละ แยกกลุ่มประเภท เพราะฉะนั้นมันยังเป็นพวกผักกินผลอยู่ มะเขือต่างๆ มะเขือเปาะ มะเขือพวง มะเขือม่วง มะเขือยาว พวกนี้ก็เป็นกลุ่มผัก ไม่ได้ย้ายเป็นกลุ่มผลไม้  และหลักเกณฑ์ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่เข้าถึงง่ายๆ แยกกลุ่มอย่างนี้  พวกกินหัว กินหัวนี่ต้องรีบแยกพวกกลุ่มเผือกมันออกเพราะกลุ่มเผือกมัน เป็นอาหารของพวกแอฟริกัน จึง เป็นอาหารหลักประเภทคาร์โบไฮเดรต ควบคู่เท่าเทียมกับพวกกลุ่มพวกธัญพืชประเภทข้าว แต่ถ้าเป็นกลุ่มหัวอย่างอื่น เช่น ขิง ข่า กระชาย หอมต่างๆ แม้กระทั่งแครอท หัวไช่เท้าก็ยังมีแป้งไม่มาก พวกนี้ก็ยังอยู่ในกลุ่มสามอยู่ ยังเป็นกลุ่มที่เราสามารถควบคุมพวกแคลอรี่ต่างๆได้ดี และก็ยังถือว่าเป็นอาหารนำร่อง ที่ควรกินก่อนอาหารอื่น เดี๋ยวจะบอกเหตุผลเรื่องควรกินก่อนอาหารอื่น

กลุ่มสี่ อันนี้ขยับสูงขึ้นมาเรื่อยๆ กลุ่มนี้ก็เริ่มมีคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น มีทั้งแป้งแล้วก็น้ำตาลบางส่วน เพราะว่าจะมีการเปลี่ยนแป้งด้วยเอ็นไซม์ แต่ว่ากลุ่มพวกนี้ไม่ออกรสหวานจัด ก็ให้สังเกตว่าสุกแล้วไม่หวาน อะไรบ้างที่สุกแล้วไม่หวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ พุทรา แอ๊ปเปิ้ล สาลี ประมาณนี้ จะอยู่ในกลุ่มสี่ แล้วก็จะแนะนำวิธีกินว่า ถ้าคุณจะกินเพื่อรักษาโรค ก็คือให้กินกลุ่ม สอง สาม สี่ ก่อนอาหารอื่น เมื่อตอนป่วยใหม่ๆ ก็ได้มีโอกาสไปอ่านตำราสมุนไพร ปรากฏว่ามีประเภทกินยากลำบากมากๆ เลย ขุดราก ผัก เปลือก กินขมๆ ต้มเป็นยาหม้อ อันนี้คัดออกทันทีไม่อ่าน เพราะอ่านก็ไม่กิน ชีวิตรันทดมาก ก็คัดพวกกินอร่อย ประมาณสักหนึ่งร้อย ปรากฏว่าพอมาเขียนหลักเกณฑ์นี้ขึ้นมา ก็กลับไปคิดถึงเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ที่อ่านตำราสมุนไพร พบว่ามันอยู่ในกลุ่ม สอง สาม สี่ตรงนี้ พอมาเช็ค เป็นพวกกินใบบ้าง กินดอกบ้าง กินผล กินฝักกินหัว ก็เลยดีใจที่เมื่อเจ็ดปีที่แล้วอ่านไปแล้วจำไม่ได้ สองพันกว่าหน้า ไม่ได้กลับไปอ่านใหม่ ทุกวันนนี้ไปบรรยายที่ไหน ก็เลยเหลือคาถาแค่สี่คำ คาถา คือไม่ใช่ สุ จิ ปุ ริ ก็คือกินมันทุกอย่าง ง่ายๆ คือถ้าเรากิน สอง สาม สี่ กินอย่าซ้ำซากนะ ท่านไม่ต้องไปจำให้ปวดหัวเลย อันนี้มีอ๊อกซาเลทเยอะ อันนี้มีไซยาไนด์ อันนี้มีสารน่ากลัว คือกินไม่ซ้ำ อันนี้ยูริค กินแล้วเก๊าขึ้น ขอให้ท่องและจำคำนี้ให้แม่น คือกินมันทุกอย่าง อย่าซ้ำซาก

พอหลักการอันนี้เราทำได้ มันจะเกิดผลอเนกอนันต์เลย ไม่ว่าจะเรื่องของเอ็นไซม์ สารอาหาร แร่ธาตุต่างๆ ที่รวมอยู่ ความเป็นพิษตกค้าง ร่างกายมนุษย์เรามีความสามารถในการขับของเสียออกได้ แต่ถ้าเรากินมันทุกวันเยอะๆ ก็เป็นผลเสียต่อร่างกาย เช่น กล้วยน้ำว้านี่ดี กินกลัวยน้ำว้าจนป่วย เพราะไม่กินอย่างอื่น ได้สารที่มาจากกล้วยมากไป อันนี้ถ้าเรายึดหลัก การกินกระจาย ไม่กระจุก กินหมุนเวียนไปเรื่อยๆ สิ่งที่ดี ร่างกายมนุษย์นี่มันเก่งนะ มันจะเก็บเอง สิ่งที่ร่างกายต้องใช้มันจะเก็บ สิ่งไม่ดีจะขับทิ้ง ท่านยึดหลักข้อนี้ แล้วลองคิดดู มันจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย กับการที่ทำให้คนทำเรื่องง่ายๆ แล้วไม่ต้องจำอะไรเยอะ ไม่ต้องไปจำว่า นี่กินสดแล้วมีไอ้นู่นไอ้นี่เกิน จำมันแค่นี้ กินมันทุกอย่างอย่าซ้ำ แล้วกระจายไปเรื่อยๆ แต่ให้วนเวียนอยู่ในกลุ่ม สอง สาม สี่ แล้วท่านจะได้ความเป็นยาไปในตัว

กลุ่มห้า อันนี้เริ่มเป็นโปรตีนแล้วแต่ก็จะมีแยกโปรตีนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มห้าเป็นโปรตีนประเภทนำหน้า มีแป้งและไขมัน ซึ่งให้แคลอรี่น้อยมาก เป็นกลุ่มที่มีโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งในกลุ่มนี้ก็จะให้โปรตีนร้อยละ ประมาณ 15-20 ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ถ้าเรากินปลาเราก็ได้โปรตีน 15-20% ขึ้นอยู่กับเป็นปลาชนิดไหน กินไก่ กินหมู กินส่วนไหนของมัน แต่คร่าวๆ น้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ควรจะได้รับโปรตีนประมาณหนึ่งกรัม จะให้หลักตรงนี้ก่อน  โดยก็จะแยกอาหารโปรตีนสูง ไขมันต่ำ แป้งต่ำอยู่ในกลุ่มนี้ ประเภทเห็ดต่างๆ เห็ดก็เป็นตัวแทนของกลุ่มโปรตีนที่ไขมันต่ำ แป้งต่ำที่ดี และเห็ดมีของแถม เป็นโปรตีนที่มีไฟเบอร์ หลายๆ ชนิด พวกไข่ ไม่มีไฟเบอร์ เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่มีไฟเบอร์ ฉะนั้นก็จะแยกให้อยู่กลุ่มเดียวกัน เพื่อการจำง่ายว่า กินเห็ดแล้วเบาหวานไม่ขึ้น  ถ้ากินเห็ดผัดจานหนึ่ง น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้น เพราะว่ากว่ามันจะเปลี่ยนโปรตีนไปเป็นน้ำตาลได้นาน ร่างกายใช้กรดอะมิโนไปหมดแล้ว หรือเรากินไขมันนี่ เบาหวานไม่ขึ้น จนกว่ามันจะเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพวกกลูโคส ซึ่งต้องใช้เวลานานมากเลย

ดังนั้นจะเห็นว่าหลักพวกนี้เป็นหลักง่ายๆ ถ้าเข้าใจหลัก แล้วกินตามกลุ่ม คุมแคลอรี่ มันจะเปลี่ยนอาหารไปเป็นยาแบบพอดี แต่ความยุ่งยากก็มีอยู่บ้างว่าพออายุเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนสัดส่วนด้วย แล้วถ้าเรามีโรคแทรกเข้ามาอีก เราต้องรู้จักสัดส่วนนั้นด้วย ซึ่งอันนี้มันจะละเอียด เป็นเรื่องๆ ไป เป็นเรื่องของกลุ่มเบาหวาน เรื่องของไขมัน กลุ่มโรคไตเสื่อม กลุ่มโรคมะเร็ง ซึ่งอันนี้จะเป็นส่วนแยก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ป่วยมากใช้หลักสิบสองข้อนี้ แล้วกินเรียงกลุ่ม กลุ่ม สอง สาม สี่ ห้า ซึ่งมันจะเป็นความพอดี ถ้ากินกลุ่มสอง สาม สี่ ห้า แล้วถ้าเป็นคนที่อ้วน ท่านก็น้ำหนักตัวลดลง แต่ถ้าเป็นคนที่ผอม ก็จะต้องให้กลับไปกินกลุ่มสิบสอง ขึ้นมาพยุงน้ำหนัก ก็จะมีคนที่กินแล้วน้ำหนักลงเรื่อยๆ หน้าตาเสียเลย

เนื่องจากการเผาผลาญ (Metabolism) ในร่างกายของคนเราไม่เท่ากันทุกคน สำหรับคนที่อ้วนง่ายมากจะมีเมตาบอลิสมต่ำ ถ้าสามารถคุมน้ำหนักได้ก็จะเป็นคนที่มีอายุยืนมากกว่าคนที่กินเท่าไรก็ไม่อ้วน เพราะคนที่อ้วนง่าย เป็นประเภทเครื่องยนต์รอบต่ำ เมตาบอลิสมมันต่ำ เซลล์ถูกทำลายช้า อนุมูลอิสระก็ต่ำมาก แต่ถ้าท่านคุมน้ำหนักไม่อยู่ ท่านก็จะสูญเสียความมีอายุยืนไป ก็จะอายุสั้นจากความอ้วนแทน สำหรับคนอ้วนที่คุมน้ำหนักได้ จะมีความดีสองประการ คือ หนึ่ง ประหยัด กินนิดเดียวก็อยู่ได้ คนอื่นต้องกินถึงสามเท่าถึงจะอยู่ได้ สอง คนอ้วนจะอายุยืนสามเท่าเลย และที่สำคัญคือถ้าทำได้ตามนี้ท่านจะแก่ช้ามาก คนเรานี่ถ้าเมตาบอลิสมสูง เซลล์ก็จะเสียไปเยอะ เพราะเซลล์ถูกเผาผลาญเยอะ ทำให้เซลล์ตายเร็ว stem cell ต้องแบ่งตัวชดเชยอีก ซึ่ง stem cell มีจำกัด เซลล์ก็สั้น เราก็เลยมีอายุสั้นตาม ฉนั้นคนที่อ้วนง่ายแล้วสามารถคุมน้ำหนักได้เต็มที่ ก็จะอยู่ได้ 120 ปีเลย โปรตีนในกลุ่มห้านี้เป็นโปรตีนที่กินแล้วผอม เพราะให้แคลอรี่ต่ำเท่ากับคาร์โบไฮเดรต แต่อิ่มนานกว่า 2-3 เท่า กินแล้วอยู่ท้อง แต่ต้องระวังเรื่องไตเสื่อม ถ้าคิดจะคุมน้ำหนักตัวด้วยโปรตีน เพราะไตกำลังทำงานหนัก สังเกตุดูค่ายูเรียในเลือดจะขึ้นสูงเร็วมาก ซึ่งยูเรียเป็นสารก่อมะเร็ง ท่านก็มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อไปอีก

กลุ่มหก คือกลุ่มอาหารหลักของคนทั่วโลก ได้แก่ กลุ่มคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้ง นำขบวนด้วยพวกธัญพืช  ซึ่งจะแบ่งเป็นสองพวก พวกถั่วเป็นพวกมีโปรตีน จะย้ายไปอยู่กลุ่มสิบเอ็ด เพราะว่ามันมีโปรตีนและมีแป้งและมีไขมันสูง ก็จะมีแคลอรี่สูงกว่าข้าว กินแล้วน้ำตาลขึ้น แต่ถ้าเป็นประเภทข้าว โปรตีนจะต่ำ เราแยกกลุ่มอย่างนี้ ทีนี้ข้าวก็จะมีสารพัดชนิด แล้วแต่ภูมิภาค แต่ถ้าเป็นพวกแอฟริกัน เขาแห้งแล้ง เขาปลูกธัญพืชไม่ได้ เขาต้องขุดพืชกินหัวกิน ก็กินพวกเผือก พวกมัน พวกนี้ก็จะเป็นอาหารหลักของคนทั่วโลก เป็นอาหารที่กินอิ่ม แล้วก็กินอย่างอื่นประกอบ แต่ปรากฏว่า เราต้องลดจำนวนลงเมื่ออายุมากขึ้น บางคนลืม ตอนหนุ่มๆ สาวๆ กินข้าวสองจานพูนๆ เลย อายุเจ็ดสิบยังกินข้าวสองจานอยู่ มันก็กลายเป็น over carbohydrate ไปเยอะแยะเลย นอกจาก over carbohydrate  แล้ว บางคนที่มีฐานะดี ก็เลยกินโปรตีนเยอะอีกต่างหากอีก พอกินโปรตีนส่วนใหญ่ก็เป็นโปรตีนที่ติดไขมันเข้าไปด้วยอีก ฉะนั้นสามตระกูล แป้ง โปรตีน ไขมันก็เลยโอเวอร์ไปหมด เลยทำให้เราป่วยเป็น NCD ฉะนั้นวิธีการที่จะลดโอเวอร์ทั้งแคลอรี่ โอเวอร์ทั้ง Nutrient ลงไปได้ ท่านต้องกลับมากินกลุ่ม สอง สาม สี่ พอกินกลุ่ม สอง สาม สี่ มันจะลดอัตราส่วนที่เกิน โดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ก่อนกินกลุ่มอื่น กิน สอง สาม สี่ไปครึ่งหนึ่งก่อน ท่านจะสามารถระงับตัวเองในหลายๆ เรื่อง และระงับโรคภัยไข้เจ็บไปได้เยอะ ก็คือสอนให้เรียง ให้กินกลุ่มต่ำก่อน ถ้าท่านไม่อยากเป็นโรค NCD

กลุ่มเจ็ด แยกประเภทผลไม้สุกและหวาน อย่างเช่นมะละกอ ตอนมันไม่สุกอยู่กลุ่มสี่ เรามาทำเป็นส้มตำ ทำอะไรได้ มะม่วงก่อนสุก ก็มาทำเป็นมะม่วงยำ แต่อย่าไปทำเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน หรือมะม่วงมันพอไหว กล้วยก็เหมือนกัน พอสุกแล้วมันก็มีน้ำตาลมาก หลายคนไม่กินข้าว มากินกล้วยแทนข้าว ไปตรวจเบาหวานคิดว่ามันจะลง ปรากฏว่าน้ำตาลขึ้นใหญ่เลย ฉะนั้นการเรียงกลุ่มมันจะทำให้หลักง่ายขึ้น ถ้าจำแค่อาหารห้าหมู่ มันทำต่อไม่ถูก แต่ถ้าจำสิบสองกลุ่มได้ แล้วท่านใช้ความชำนาญ เวลาจะทานอาหารแต่ละมื้อ เขียนแยกกลุ่มได้เลย เพราะกลุ่มพวกนี้ชัดเจน ท่านเอาพืชส่วนไหนมากิน ท่านเอาใบ เอาดอกมากินกี่เปอร์เซ็นต์ในส่วนนั้น กินหัว กินฝักเท่าไหร่ หรือว่ากินกลุ่มหกเท่าไหร่ กลุ่มหกก็จะครอบคลุมไปหมด ผลิตภัณฑ์ของมันด้วย พวกเส้นต่างๆ พวกขนมปังพวกนี้ มันก็เรียงกลุ่มกัน เป็นหลัก แล้วก็เรามาดูซิว่าผลไม้ที่เรากิน มันสังกัดกลุ่มสี่หรือกลุ่มเจ็ด  ถ้ากลุ่มเจ็ด ท่านก็ไปกินหลังอาหารแล้ว แทนที่จะกินก่อนอาหาร กลุ่มสี่ให้กินก่อน เพราะว่ามันมีน้ำตาลน้อยมาก มันมีแป้งไม่มากเท่าไหร่ แล้วก็มีไฟเบอร์ป้องกันตัวเองด้วย แต่พอเริ่มสุกและหวาน ให้ท่านย้ายไปอยู่กลุ่มเจ็ด เพื่อจะได้ระวัง คือกิน กลุ่ม สอง สาม สี่ให้อิ่มก่อนให้กลุ่มเจ็ดเป็นอาหารรางวัล ก็คือเหมือนกินตามร้านอาหาร กินจานเล็กๆ แล้วก็กินอย่างอื่นเสร็จ แล้วค่อยกิน แต่ถ้าเป็นผลไม้ที่ไม่สุก ไม่หวาน ก็มากินกลุ่มสี่ กินก่อน กินให้อิ่มได้เลย เช่น กินส้มตำเล่นได้เลย

กลุ่มแปด อันนี้หวานมาก เขาเรียกว่ามาตามฤดูกาล พอฤดูกาลนี้มา ผลที่ตามมาคือโรงพยาบาลก็จะคับคั่งด้วยผู้ป่วยเบาหวาน

กลุ่มเก้า เป็นอาหารดัดแปลงแล้ว จะเห็นว่าตั้งแต่ต้น หนึ่งถึงเจ็ด เราไม่ต้องดัดแปลงอะไรเลย เรากินอย่างนั้นได้เลย ยกเว้นกลุ่มห้าที่เป็นโปรตีนต้องทำให้สุกเท่านั้นเอง แต่พอกลุ่มเก้าดัดแปลงเยอะ เราเอากลุ่มหก ประเภทข้าวมาโม่ ให้เป็นแป้ง แล้วเราก็ไปสกัดน้ำตาลมาใส่อีก อันนี้เขาเรียกว่า เต็มที่เลย ทำให้กินแล้วทั้งอ้วน ทั้ง NCD ตามมา ขนมต่างประเทศน่ากลัวกว่าขนมไทย เพราะขนมต่างประเทศใส่ Trans Fat เข้าไป คือใส่ไขมันทรานส์ ทั้งครีมเทียม เนยเทียม ใส่เข้าไปอีก ยิ่งไปกันใหญ่เลย

กลุ่มสิบ ได้แก่ พวกเครื่องดื่มต่างๆ ที่ผสมน้ำตาลในปริมาณที่สูง ทำให้มีความหวานมาก เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วที่น้ำตาลเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือด เรียกว่า glycemic index เครื่องดื่มประเภทนี้จะมี glycemic index สูงมาก ซึ่งในปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยของคนทั่วโลก ในปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมีการโฆษณาให้เย้ายวนใจมาก ทำให้คนส่วนใหญ่หลงไหลกับสิ่งเย้ายวนที่ทางบริษัทผู้ผลิตมอบให้ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านั้นขายดีมีกำไรเยอะ ก็โฆษณาเยอะ โฆษณาเยอะไม่พอ แถมโปรโมชั่นเยอะอีก ก็เป็นเหตุให้คนมากินกัน ทำให้ได้รับน้ำตาลมากขึ้น และน้ำตาลที่อยู่ในเครื่องดื่มนี้มีฤทธิ์เสพติดเท่ากับแอลกอฮอล์ ปรากฏว่าคนไม่รู้ตัวว่าติดหวาน แต่กินเหล้านี่รู้ตัวเพราะกลิ่นมันบอกและตำรวจจับไปเป่าหาความแรงของแอลกอฮอล์ ถ้าเกินมาตรฐานก็ถูกจับปรับ แต่ที่ติดหวานนี่ไม่มีความผิดเลยแต่ว่าเราเจ็บป่วย ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เดี๋ยวนี้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแพร่หลายออกไป ปัจจุบันยังไม่เห็นพระราชกำหนด หรือ พ.ร.บ.อะไร จะมาปรับอัตราภาษีตามเปอร์เซ็นต์น้ำตาลที่เพิ่มขึ้นไปอีก ได้ข่าวว่าออกมา แต่ยังไม่เห็นตัวบทสักทีหนึ่ง ซึ่งอันนี้ควรรีบๆ ทำเลย เราเก็บภาษีตามดีกรีของเหล้า แอลกอฮอล์ อันนี้ต้องเก็บภาษีตามเปอร์เซ็นต์ของน้ำตาล ที่อยู่ในเครื่องดื่ม เพราะคนที่ดื่มจะเป็นภาระสังคม เหมือนกับดื่มเหล้า เป็นภาระสังคม เพราะคุณต้องเอาภาษีคนอื่นมารักษาตัวคุณ ดื่มน้ำตาลเหมือนกันเลยคุณต้องจ่ายภาษีค่าดื่มด้วย จะสู้กับสารเสพติดมันต้องใช้ความกลัว ในคนปกติเราจะมีน้ำตาลในเลือดอยู่ประมาณหนึ่งช้อนชาเท่านั้นเอง แต่ปรากฏว่าน้ำอัดลมขวดขนาดกลาง ห้าร้อยซีซี จะมีน้ำตาลอยู่ประมาณหกถึงแปดช้อนชา ตอนเราเป็นเบาหวานเราต้องควบคุม อดๆอยากๆ ต้องกินยาด้วย ตอนนั้นเรามีน้ำตาลในเลือดทั้งตัวรวมกัน เอาเลือดทุกหยดมากลั่นหาน้ำตาล ท่านมีอยู่แค่ช้อนชาเดียว แต่เรากำลังจะดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเรา ประมาณแปดเท่าของตอนที่เราเป็นเบาหวาน แล้วข้อสำคัญดื่มแล้วมันไม่เจ็บปวด มันสดชื่นเลยทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันไม่มีอันตราย มันกลับกระปรี้กระเปร่า อันนี้เป็นเรื่องที่สังคมต้องใช้ความรู้ในการที่จะหยุด เพราะใช้ความรู้สึกไม่ได้และข้อสำคัญถูกต้องตามกฎหมาย มีอย.ครบถ้วน โฆษณาเท่าไหร่ก็ได้  เพราะฉะนั้นเราหยุดไม่ได้ จนกว่าคนจะเห็นภาพตอนป่วยและเสียชีวิต

เดี๋ยวนี้มีหลายโรงพยาบาลในภูมิภาค ที่ได้มีโอกาสไปบรรยายในโรงพยาบาลอำเภอหลายๆ โรงพยาบาลก็เอาเครื่องดื่มที่ฮิตๆ แล้วก็เอาถุงน้ำตาลมาแปะข้างๆ ให้เห็นว่า มันมีน้ำตาลอยู่เท่านี้ ก็จะช่วยให้คนจำนวนหนึ่งเห็นข้อเท็จจริงว่า มันเป็นเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดโรค NCD จริงๆ แล้วยอดขายปีละหลายแสนล้าน ไม่ใช่อิจฉา แต่กำลังสงสารประเทศไทย เพราะว่าภาษีที่ได้จากเครื่องดื่มไม่คุ้มเลย ที่จะต้องมาสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม คนป่วยกันมากมาย สังคมเราต่อต้านกันแต่เหล้า แต่เราไม่ได้ต่อต้านน้ำตาลที่อยู่ในเครื่องดื่ม รวมทั้งเราไม่มีความรู้พอที่จะทำให้คนเห็นภาพแล้วก็ลดการบริโภคน้ำตาลลง ไม่มีประเทศใดในโลกที่ลดการกินน้ำตาลได้ เพราะมันเป็นสารเสพติดแล้วข้อสำคัญมันเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรดี เดี๋ยวนี้เราอยู่ในยุคสังคมการค้า ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามโดยเด็ดขาด ยากมากเลย แล้วเราห้ามคนกินน้ำตาลไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่สารพิษ มันเป็นสารอาหาร เราจึงต้องห้ามด้วยความรู้ และข้อเท็จจริง ที่ให้คนที่เข้าถึง นำไปปฏิบัติ อันนี้ก็คือกลุ่มสิบ น้ำอัดลมเดี๋ยวนี้เด็กๆ ชอบกันมาก ถ้าเป็นเครื่องดื่มประเภทตระกูลชานี่ มีน้ำตาลเป็นสองเท่าของน้ำอัดลม พบว่าในหนึ่งขวดจะมีน้ำตาลประมาณสิบห้าช้อน ไม่ว่าชาเขียวหรือชาแดง ทำไมถึงต้องใส่น้ำตาลเยอะขนาดนี้ เพราะว่าชามันขม เราต้องการกลบรสขม จึงต้องใส่น้ำตาลเยอะเป็นสองเท่า เพราะฉะนั้น พวกนี้โปรโมชั่นแรงมากมีการแจกรถเบนซ์ ไปเที่ยวญี่ปุ่น สู้ไม่ไหว แม้กระทั่งน้ำผลไม้ด้วย อย่าลืมให้ดูเปอร์เซ็นต์น้ำตาล แล้วเดี๋ยวนี้โรงงานเขียนแยก เขาเขียนฟรุกโตสแยกกับกลูโคส คนเลยคิดว่าฟรุกโตสไม่ใช่น้ำตาล เขียนแยกฟรุกโตส 8% น้ำตาล 7% มันคือ 15% sugar เดี๋ยวนี้เทคนิคเยอะทำให้ผู้บริโภคตามไม่ทัน

สำหรับ trans fat เราจะพบว่าเขาไม่เขียน trans fat แต่จะเขียน hydrogenate vegetable oil ศัพท์สูงส่งมาก เวลาไปบรรยายจึงต้องเปลี่ยนคำศัพท์ ที่เป็นศัพท์ technical term ศัพท์ทางการแพทย์ให้เป็นศัพท์ที่เข้าถึงชาวบ้านได้แล้วเรื่องพวกนี้ จะไปอยู่ตามวัด แล้วจริงๆ พระท่านก็ไม่เข้าใจ ณ ขณะนี้ก็ให้พระเป็นนายแบบเสียแล้วก็ให้คนเปลี่ยนวิธีถวายอาหารพระใหม่ ไม่ต้องประเคนอาหารหวานด้วย แล้วหลายคนก็ไม่ต้องไปวิ่งซื้อข้าวแกงหน้าวัด เอาไปใส่บาตร ไปวัดนี่เอาเงินหยอดตู้แล้วก็เอาเงินในตู้นี้ไปบำรุงกองทุนสวนผัก ก็เท่ากับท่านถวายอาหารสุขภาพให้พระ ผ่านกองทุนสวนผัก แล้วพระก็ได้ฉันผัก แล้วผักที่เอามาฉัน ไม่ต้องล้างเลยครับ เพราะว่าพระปลูกเอง  ไม่ใช่พระปลูก กองทุนจะจ้างคนงานปลูกแล้วก็ไม่ใช่ถวายให้พระ ต้องแลกเปลี่ยนกันพระก็มีเงินบริจาคเข้าไปซื้อกองทุน คือผมต้องการความยั่งยืน ผมไม่เกี่ยวกับกองทุนนี้เลย แต่เป็นผู้ตั้งให้มันเกิดแล้ววางยุทธศาสตร์ให้กองทุนนี้ไม่แฟ่บหายไปในเวลาอันรวดเร็ว คือต้องมีทั้งการผลิตที่ต้นทุนถูก ผลิตของที่มีคุณภาพและมีความยั่งยืน ต้องมีรายได้ คือวางโครงสร้างให้หมดเลยตั้งแต่เรื่องผลิต เรื่องการเริ่มการผลิต การดำเนินงาน การกำหนด unit cost อะไรต่างๆ แล้วเอาโมเดลนี้ไปให้ชุมชนบริหาร ในที่ดินของวัดเพื่อให้เกิดประโยชน์กับพระ เพื่อให้พระเป็นต้นแบบ ให้ฆราวาสได้เลียนแบบ ชุมชนจะได้ประโยชน์จากตรงนั้นด้วย กินผักสะอาด โดยมีศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ที่ โครงการที่บางไทร ตอนนี้มีวัดติดต่อมาเป็นร้อยเลย ยังทำอะไรไม่ถูก ยังงงอยู่ว่าจะทำยังไงดี กับคนที่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก แต่ว่าไม่มีเงินมาเลย ผมก็จะต้องหาทุนนี้ อย่างน้อยเริ่มต้นให้วัดหนึ่งประมาณหนึ่งแสน ถ้าพันวัดนี่ประมาณร้อยล้าน คือต้องหาเงินประมาณร้อยล้าน เพื่อทำให้โครงการนี้เกิด แต่ร้อยล้านมันจะกลับไปเป็นหมื่นล้าน ถ้ากองทุนนี้รู้จักบริหารต่อ หมื่นล้านจะเปลี่ยนสุขภาพของคนไทยได้ เพราะมันไม่ใช่หมื่นล้านรอบเดียวครับ มันจะหมื่นล้านไปหลายๆ รอบ แล้วกงล้อมันก็จะไปสู้กับอาหารป่วยได้จำนวนหนึ่ง อันนี้คือสิ่งที่คิดไว้

กลุ่มสิบเอ็ด เป็นกลุ่มโปรตีนสูง มีแป้งสูง และไขมันสูง แยกเป็นสองกลุ่ม ก็คือกลุ่มพวกธัญพืชประเภทถั่ว อันนี้ก็ส่วนสามกษัตริย์ แล้วก็เป็นประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน  ถ้าเนื้อสัตว์ที่เป็นสัตว์กินแล้วให้ประโยชน์หลายเรื่อง เช่น เนื้อสัตว์ประเภทปลา เพราะว่าน้ำมันปลาเดี๋ยวนี้ถูกพิสูจน์ว่า มันไปเปลี่ยนแปลงไขมันในเลือด ทำให้เลือดไม่ข้น ทำให้ HDL ซึ่งเป็นไขมันดีสูงขึ้น LDL ไขมันไม่ดีต่ำลง แต่ว่าถ้าเราไปกินน้ำมันที่ได้จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนใหญ่จะเป็น triglyceride อันนั้นก็จะเป็นตัวที่ไม่ได้ทำให้ไขมันเราดีขึ้น หลักที่จำง่ายๆ อย่ากินญาติกันเอง คือไม่ให้กินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เพราะพวกนี้โรคติดต่อใกล้ชิดมาก โรคถึงกันเลย หนูเนี่ยเรากระตุ้นให้เป็นมะเร็งได้เลยนะครับ เราเอาเคมีมะเร็งที่เราทำการวิจัยจากหนูเอามาฉีดใส่คนได้ แม้กระทั่งหนูตัวเล็กๆ มันจะเป็นตัวแทนของเราได้ แต่ว่าประเภทปลาสายพันธุ์มันไกล แล้วการย่อยเนื้อจากปลานี่ย่อยง่าย ไม่เน่านาน ไขมันมันดี โรคห่างไกล ฉะนั้นการแนะนำให้กินเนื้อสัตว์ ไม่ให้กินสัตว์ใหญ่ ไม่กินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไปกินสัตว์เลือดเย็น เราเลือดอุ่นหมดเลยทุกคน เพราะฉะนั้นเราก็จะคุมอุณหภูมิเราได้ เพราะว่าไขมันเรา กับญาติเราไขมันประเภทเดียวกัน เรากินไปเราก็จะ Over Fat ในส่วนที่ไม่พึงประสงค์ แต่ถ้าเราไปได้น้ำมันจากสัตว์เลือดเย็น มันก็จะมีโอเมก้าสามเยอะ มันก็ทำให้สมดุลของไขมันในเลือดเราดีขึ้น

กลุ่มสิบสอง เป็นกลุ่มประเภทไขมัน extract ซึ่งไขมันสกัด กระบวนการสกัดไขมันจากโรงงานอุตสาหกรรม น่ากลัวมาก ใช้ความร้อนสูงมากเลย  กลุ่มสิบสอง อันนี้แคลอรี่สูงสุด แต่ว่าไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้อ้วน เพราะว่ามันเป็นอาหารประกอบ ตัวที่น่ากลัวคือน้ำมันผ่านกระบวนการเคมี ประมาณสี่ขั้นตอน ในการสกัดน้ำมันจากโรงงาน ใช้สารเคมีทั้งนั้น ก็เลยแนะนำให้ใช้น้ำมันที่สกัดเอง เช่น กะทิ ก็คงไม่ถูกใจนักโภชนากรหลายคน พูดถึงเรื่องกะทิ เพราะว่ากะทินี่ friendly ที่สุด และปัจจุบันนี้ถูกพิสูจน์ว่ากรดไขมันอิ่มตัว กรดลอลิคเป็นกรดที่เป็นทั้ง antibiotic เป็นทั้ง antiseptic ด้วย สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี แล้วก็ให้ดุลยภาพ คือถ้าเรากินแต่น้ำมันไม่อิ่มตัวอย่างเดียว เราจะเกิดการอักเสบสูง เราต้องกินไขมันอิ่มตัวที่ดี ไปสร้างดุลมัน รวมทั้งไขมันไม่อิ่มตัวอีกชนิดที่ดี ก็คือ โอเมก้าเก้า ซึ่งคนไทยเราไม่ค่อยได้ทาน เรากินแต่โอเมก้าหก ซึ่งมากไป ก็คือน้ำมันจากถั่ว โอเมก้าเก้าที่มาจากน้ำมันมะกอก สร้างดุลด้วย เพราะฉะนั้นน้ำมันทุกชนิดแต่ละชนิดก็จะให้กรดไขมันที่ต่างกัน เลยใช้หลักกินมันทุกกลุ่ม กินทั้งไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้าหก โอเมก้าเก้า แต่ว่าจำง่ายๆ เลย ไขมันที่ดี ต้องไม่เดือด  อย่าไปทำให้มันเดือด ถ้าเดือดปุ๊บมันมีโอกาสเปลี่ยนเป็น trans fat ได้เลย เพราะฉะนั้นกินไขมันที่มาจากธรรมชาติดีที่สุด แต่ถ้าสุกด้วยน้ำ น้ำเดือดไม่เป็นไร เพราะอุณหภูมิน้ำเดือดนี่ร้อยองศา ท่านต้มเท่าไหร่ไขมันในนั้นไม่เปลี่ยนเป็น trans fat แต่ถ้าท่านเอาน้ำมันไปทอด จุดเดือดมันร้อยหกสิบ ร้อยแปดสิบ บางอันเกือบสองร้อย มันจะเปลี่ยนเป็น trans fat ได้ และมันจะเกินกว่าจุดเดือดของน้ำ ซึ่งน้ำก็จะแตกตัวให้ไฮโดรเจน ไปจับกับตำแหน่งที่ไม่อิ่มตัวได้ หลักง่ายๆ จำไว้เลยก็คือสุกด้วยความร้อนจากน้ำเดือด หรือกินสด กินควบคู่แบบนี้ แล้วโรคต่างๆ เบาหวานความดัน ไขมัน ที่ท่านเคยกินยาเพิ่มขึ้นๆ มันจะกินน้อยลงๆ ยิ่งเราคุมน้ำหนักตัวได้ โรคพวกนี้จะลดลง ลดลง จนจำนวนหนึ่งถึงขั้นหยุดยาได้ พี่ๆ น้องๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ หลายคนเป็นโรคโดยไม่รู้ตัว คือ เป็นโรค white coat hypertension คือ white coat คือเสื้อกาวน์ขาว hypertension คือความดันโลหิตสูง ท่านไปวัดความดันที่โรงพยาบาล หรือคลินิก แล้วเป็นโรคความดันสูงกลับมาโดยที่ปกติแล้วท่านไม่ได้มีความดันสูงเลย เป็นเพราะท่านเกิดความเครียด ความกังวล  จากสถิติพบว่า 30% ที่กินยาอยู่ทุกวันนี้ เป็นโรค white coat hypertension โดยพิสูจน์ได้ว่า ให้ไปวัดที่บ้านไม่ขึ้น หยุดยาด้วยนะ ไม่ขึ้น จดมาทั้งเดือนเลย ไม่มีวันไหนตัวบนเกิน 140 ตัวล่างเกิน 90 เลย แต่พอวัดต่อหน้าหมอที่ friendly มากๆ จะมีความดัน 150 160 เลย ตัวล่างขึ้นไปร้อยกว่าเลย

ขออนุญาตบอกวิธีกินอาหารเลย กล่าวคือ  วิธีกินอาหารที่ แนะนำมากสุดคือกินสด  วิธีการกินสดอุปสรรคสำคัญคือ สารพิษ ยาฆ่าแมลง อันนี้เป็นอุปสรรคสำคัญมาก เราต้องสร้างกลยุทธ์ผลิตผักอินทรีย์ให้แพร่หลายทั้งประเทศเลย แพร่หลายอย่างแรก ง่ายมากที่จะปลูกกินที่บ้าน พริกนี่ห้ามไปซื้อที่ตลาดเลย เพราะมียาฆ่าแมลงสูงมาก ปลูกพริกใส่กระถางเป็นไม้ประดับ  เดี๋ยวนี้ทำสวนประดับ เป็นพวกกินได้หมด ตะไคร้ พริก กระเพรา โหระพา พวกนี้สารพัดยาฆ่าแมลงเลย แต่ถ้าจะเอามากกว่านั้นก็ อาจจะใช้เป็นกระชังปลูก วิธีการกินที่ดีที่สุด คือการกินสด เราจะกินสดได้เนี่ย กลุ่มโปรตีนไม่ได้ กลุ่มห้าไม่ได้ กินแล้วท้องอืดตายเลย เอ็นไซม์มันย่อยไม่ทัน กลุ่มห้า กลุ่มสิบเอ็ดไม่ได้ เราจึงควรกินสดในกลุ่มสอง สาม สี่ กินพวกผัก พืช และผลไม้ที่ไม่หวาน  ทีนี้รูปแบบการกินคนไทยเราเป็นชนชาติที่โชคดีมากเลย เดี๋ยวนี้จะเป็นผู้นำด้านอาหารของโลกแล้ว เป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยว ไม่เคยคิดฝันว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับสองของโลกใบนี้ กรุงเทพฯถูกเลือกเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง เราด่ากันเองทุกวัน แต่ฝรั่งติ๊กให้เป็นเมืองน่าท่องเที่ยว

ที่จริงเรามีอะไรที่ดีมากๆ เลย การกินอาหารของเรา เป็นอาหารยา เพราะเรากินของสดได้ หลากหลาย จะเอาแบบตะวันตกนิยมหน่อย สลัด แล้วน้ำสลัดเดี๋ยวนี้คนไทยทำอร่อย อาหารยำเดี๋ยวนี้จะต้องแพร่หลายทั่วโลก รวมทั้งพวกผักเคียงต่างๆ ผลไม้กินสด กลุ่มพวกนี้ไปกระจายเป็นร้อยเมนูทำให้กินได้โดยไม่เบื่อเลย นอกจากนั้นก็มีการเอามาปั่น เอาพืชผักหกชนิดนี่มาปั่น เลือกตัวแทนของพวกสมุนไพรที่รักษา NCD หมด ออกมา ปั่นแล้วถ้าได้น้ำสีเขียว เรียกว่าน้ำคลอโรฟิลด์ พืชผักสีแดง หรือพึชชนิดหัวสีแดงนำมาปั่นจะได้น้ำสีแดง พืชผักสดจากตลาดที่เรานำมารับประทาน ต้องมีวิธีการล้างให้สะอาด ปราศจากสารพิษยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า วิธีเดิมๆ เราใช้น้ำส้มสายชู หรือ เกลือ หรือเบกกิ้งโซดา แต่ปัจจุบันนี้พบว่าการใช้ก๊าซโอโซน (O3) ซึ่งเป็น oxidizing agent ที่สุดยอดในการล้างพืชผักสดดีกว่าวิธีการข้างต้น ก๊าซโอโซนฆ่าเชื้อโรคได้แม้กระทั่งฆ่าตัวพยาธิ และไข่พยาธิที่ติดมากับพืชนั้นๆ ได้ด้วย ข้อสำคัญคือโอโซนไม่ใช่ก๊าซพิษ มันคือฟอรัมหนึ่งของก๊าซออกซิเจน (O2) สำหรับ O3 เมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้วจะเปลี่ยนเป็นก๊าซ O2 แต่ที่สำคัญคือ O2 จะไม่ออกซิไดส์สีเขียวในพืชแต่มันจะออกซิไดส์สีที่เป็นสารเคมี O3 ในธรรมชาติเกิดจากฟ้าผ่า ฟ้าแลบ เพื่อปกป้องโลก และเมื่อถูกละลายในน้ำจะตกลงมาเป็นสารฆ่าเชื้อโรคได้ดีมากด้วย

ผู้บรรยายพยายามผลักดันให้โอโซนแพร่หลายในประเทศไทย ปรากฏว่าเมื่อก่อนนี้มันแพง ปัจจุบันนี้มีคนผลิตได้ราคาถูกลง เครื่องหนึ่งสองพันกว่าบาท คืออยากให้ทุกครัวเรือนมีเครื่องนี้ไว้ใช้ แล้วเราซื้อผักกิน  จะผลักดันให้คนกินผักสดเยอะๆ ถ้าไม่มีวิธีการล้างสารพิษออกไปเขาก็จะไปเสียชีวิตด้วยสารปนเปื้อน ก็เลยพยายามโปรโมทให้ เพราะอยากให้เครื่องนี้เข้าไปอยู่ทุกครัวเรือน  ปัจจุบันนี้ราคาเครื่องหนึ่งสองพันกว่าบาท เสียบปลั๊กแล้วได้ก๊าซโอโซนนำไปใช้ล้างได้เลย อันนี้เป็นประโยชน์กับสังคม ถ้าเราชำนาญพอนะ ล้างทุกซอกทุกมุมนะ มันอ๊อกซิไดซ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ฆ่าไข่พยาธิได้ด้วย ที่น่ากลัวมากที่สุดคือยาฆ่าหญ้า อ๊อกซิไดซ์ได้หมด รวมทั้งกรัมม็อกโซนนี่อ๊อกซิไดซ์ได้หมดเลย อันนี้เป็นสิ่งดีๆ ที่พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น พยายามผลักดันให้ไปกินผัก กินกลุ่ม สอง สาม สี่ให้มากสุด แล้วก็ให้เป็นผักสะอาด มีทางออกใช้ก๊าซโอโซน พยายามเขียนหนังสือให้แพร่หลาย ทำเรื่องพวกนี้แล้วหากองกำลังสนับสนุน ให้วัดที่มีพลังมาช่วยกันสักพันวัด ดันเรื่องพวกนี้ เพื่อเป้าหมายของการบรรยายวันนี้ คือเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา และเปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดี ไปสอน nutrition ไม่มีทาง สอนให้คนกินผักเท่านั้นไม่พอ ต้องสอนให้คนกินผักสะอาด และถูกวิธีด้วย  ดีที่สุดอันดับแรกคือกินสด เพราะสดมันจะให้พวกนี้  สดมันจะให้สามอย่าง ที่หาไม่ได้จากการกินสุก ข้อแรกคือวิตามินซี วิตามินซีเป็นวิตามินที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แล้วบอบบางมาก พอโดนความร้อนปุ๊บ มันสลายหมดเลย ทีนี้วิตามินซีก็ไปเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ อีกมากมาย ฉะนั้นถ้าคนไทยไม่กินอาหารสดเลย ท่านต้องกิน supplement วิตามินซีเสริม แล้วเดี๋ยวนี้เราต้องมาปรุงสุกหมด เพราะว่ามันสกปรกมาก ทั้งแบคทีเรีย ทั้งสารพิษอะไรต่างๆ ก็เลยทำให้คนเราขาดวิตามินซี เป็นวิตามินซี deficiency แต่ไม่ถึงเป็นขั้นลักปิดลักเปิด แต่ทำให้ร่างกายเสื่อมเร็ว แก่เร็ว เส้นเลือดแข็งกรอบ เวลาอายุเยอะแล้วยับย่นง่าย จับแล้วติดมือ ไม่ค่อยเด้งกลับ ต้องกินผักสดทีเดียว ถ้าไม่กินผักสด ไม่ต้องเสียดายเงินวันนี้ กินวิตามินซีเสริม แต่แนะนำให้กินชนิด time release เม็ดละพันมิลลิกรัม ประเภทมีสารเคลือบ คือกินแล้วมันจะค่อยๆ ปล่อยวิตามินออกมา ครั้งละร้อยมิลลิกรัม ร่างกายใช้ไปเรื่อยๆ ฉี่ไปใช้ไป กว่าจะใช้หมดพันมิลลิกรัม ต้องใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นวิตามินซีแบบธรรมดาพันมิลลิกรัม ภายในสามสี่ชั่วโมงก็ใช้หมด แล้วฉี่ทิ้งไปหมดเลย ซึ่งเป็นฉี่ที่แพงเกินไป ฉะนั้นกินแล้วค่อยๆ time release ออกมา อันนี้มีอยู่ในของสดเท่านั้น สุกไม่มี เพราะมันสลายหมด วัตถุออกฤทธิ์ทางยาก็เท่ากับที่ให้คาถาไปเมื่อต้นชั่วโมง คือกินมันทุกอย่าง ความเป็นยานี่มันมี อยู่ในทุกพวกพืชผัก ให้ไปวิจัย ใช้ทุนเท่าไหร่ เยอะแยะไปหมด  เดี๋ยวนี้เลยเลิกคิดเลยที่จะวิจัย เพราะวิจัยพวกนี้เป็นความรู้ที่เป็นฟรี เราวิจัยเท่าไหร่ก็เจอหมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเงินวิจัย กินหมดทุกอย่าง มันจะได้ความเป็นยาครบ และอีกเรื่องที่สำคัญมากคือเอ็นไซม์  เอ็นไซม์เป็นสารโปรตีน โดนความร้อนแล้วมันจะเปลี่ยนรูป และข้อสำคัญเวลาเข้าไปในลำไส้ มันจะย่อย มันจะเป็นกรดอะมิโนไปหมด มันก็เลยไม่ได้ประโยชน์จากเอ็นไซม์โดยตรง เนื่องจากเอ็นไซม์มันเป็น specific protein ที่ไปคุมกระบวนการชีวเคมีในร่างกาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องกินสด แล้วการกินสด ส่วนที่ดูดซึมได้ดีที่สุด คือส่วน  duodenum ซึ่งไม่เคยทำหน้าที่ดูดซึมสารตัวอื่น เพราะมันต้องไปย่อยที่ Jejunum ก่อน แต่มันดูดซึมตัวเอ็นไซม์ได้ ซึ่งเข้าตรง duodenum เพราะฉะนั้นเราต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนการกลืนเพื่อให้การดูดซึมและกินก่อนอาหารอื่น ฉะนั้นถ้าใครอยากได้เอ็นไซม์ให้กินพวกพืชผักสด หลากหลายชนิด เพื่อจะได้ครบ เพราะร่างกายเราต้องการเอ็นไซม์สองพันเจ็ดร้อยกว่าอย่าง พืชผักแต่ละอย่างมันมีแค่ร้อยสองร้อย ท่านกินหลายสิบอย่าง และเอ็นไซม์ข้อดีคือมันใช้แล้วไม่หมด มันเป็น catalyst มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ใช้แล้วใช้อีกได้ เรากินเวียนห่างๆ เดือนหนึ่งได้กินสักครั้งหนึ่ง แต่เดือนหนึ่งท่านกินหลายสิบอย่าง ท่านจะได้เอ็นไซม์มาเสริมครบ แล้วกระบวนการในร่างกายมันจะไม่ติดขัด อันนี้คือหลักอาหารยา แต่ถ้าท่านไปทำลาย มันด้วยความร้อนหมด หรือบางคนใส่ปากปุ๊บ เคี้ยวสามคำกลืนมันจะไม่ได้สารนี้  ผมเอาลูกเอ็นไซม์มาฝาก เช่น พวกหอมหัวใหญ่ พวกนี้ถ้าเราปล่อยสด มันก็จะงอกต่อ มันไม่ตาย มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณทางธรรมชาติ ที่เอ็นไซม์ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงเผ่าพันธุ์ ไม่ตาย ต้นไม้ล้ม ก็ยังลุกได้ เอ็นไซม์มันทำหน้าที่เสร็จ มันไปทำให้ฝั่งตรงข้ามงอกเร็ว และอีกฝั่งหนึ่ง ที่อยู่ติดฝั่งไม่งอก มันก็ลุกขึ้นมาได้ พวกนี้เป็นการทำงานของเอ็นไซม์ ซึ่งแสนรู้มากโดยธรรมชาติ ทำให้มีชีวิตรอด ปลาดาวถูกผ่าครึ่งก็ไม่ตาย งอกเป็นสองตัวได้ คนเราผ่าครึ่งตายไหม จะตายทันทีเลย  แต่คนเราซ่อมได้ ใช้เอ็นไซม์ซ่อม มันไม่ได้ซ่อมเฉพาะข้างนอก มันซ่อมข้างในด้วย อวัยวะเสื่อม อวัยวะเสีย มันซ่อมด้วย เพราะฉะนั้นอย่ากินอาหารที่ขาดเอ็นไซม์ ต้องกินของสดด้วย แล้วพวกนี้ไม่มีโอกาสไปวิจัยมันครบหมดหรอก ไม่ต้องวิจัย กินเข้าไปก่อนเลย

จากงานวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นพบว่า ถ้าเอาปลาเป็นๆ ไปแช่ไนโตรเจนเหลวที่ -35°C หนึ่งปี แล้วนำมาแช่ในน้ำธรรมดา ปรากฏว่ามันจะว่ายน้ำได้ใหม่ไม่ตาย แต่ถ้าเอาไปแช่ในช่องแข็งธรรมดาไม่ได้ เพราะเย็นช้า เซลล์มันแตกปลาจะตายทันที ถ้าเป็นสัตว์เลือดอุ่นอย่างมนุษย์เราเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าไปเจออุณหภูมิที่ต่ำกว่า 37°C  หรือสูงเกิน 44°C เอ็นไซม์ในตัวเราจะไม่ทำงาน เซลล์ถูกทำลายและตายได้จะเห็นว่ามนุษย์มีขีดจำกัด แต่ปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น ถ้าอุณหภูมิข้างนอกลด ภายในตัวของมันก็จะลดไปเรื่อยๆ ลดจนเอ็นไซม์มันหยุด พอกลับมาอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมันกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แสดงว่าเอ็นไซม์นี่คือสารชีวิต

ต่อไปจะพูดถึงเรื่องที่สำคัญคือเรื่องของไตเสื่อม หลักอาหาร 12 กลุ่ม กินให้ถูกกลุ่มจะสามารถต้านโรค NCD ได้ กินกลุ่ม สอง สาม สี่ ก่อน หาโอกาสกินสดให้ได้ กินสดแบบสะอาด ไม่ว่าจะปลูกหรือว่าล้าง จำอะไรไม่ได้มาก กินกลุ่ม สอง สาม สี่ ครึ่งหนึ่งของความอิ่มก่อน แล้วกลุ่มที่เหลือ พวกโปรตีนนี้กินสุก โดยไม่มีการทอด ไม่ปิ้งย่างจนไหม้ สุกด้วยความร้อนจากน้ำเดือด จะเป็นต้ม นึ่ง อบ แกงส้ม ต้มยำ รสเผ็ดไม่เป็นไร  ไตแต่ละข้างของคนเรา ประกอบด้วยหน่วยไต nephron ที่เห็นเป็นรังนกกระจาบก็คือ nephron ไตหนึ่งข้างของเรามี nephron ประมาณหนึ่งล้านหน่วย อันนั้นหมายถึงชีวิตเริ่มต้น ตอนเด็กๆ ตอนหนุ่มสาว แต่พออายุมากขึ้นมันจะเสื่อมลงเรื่อยๆ และเหตุปัจจัยที่ทำให้มันเสื่อมมีสิบสองประการ ซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้เรารู้อยู่เรื่องเดียวคือการกินเค็ม ความรู้อีกสิบเอ็ดข้อเราไม่รู้ แค่งดกินเค็มมันไม่ได้ทำให้ไตเราดี แต่เราต้องรู้เหตุและปัจจัยมัน ทำไมสิบสองประการทำให้คนไทยไตเสื่อม เพราะเราต้องรู้คุณสมบัติของหน่วยไต เนปฟรอนนี้ก่อน ไตเรามีขนาดเท่ากับกำปั้น และมีเนปฟรอนอยู่ข้างละหนึ่งล้านหน่วย แสดงว่าหนึ่งหน่วยมันเล็กมาก ไม่อย่างนั้นบรรจุหนึ่งล้านไม่ได้ มีเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำที่มีขนาดเล็กมาก ขนาดประมาณหนึ่งในร้อยของเส้นผม เป็นส่วนประกอบใน nephron เพราะฉะนั้นมันจะเป็นหน่วยที่บอบบางมาก ทุกวินาทีมันจะเสื่อม โดยปกติเราจะเสียชีวิตก่อนที่เราจะต้องมีการฟอกไต เพราะว่า ธรรมชาติให้เผื่อมาประมาณ 85% ความสามารถหมดไป 85% โดยเราตรวจไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น หลังจากเหลือน้อยกว่า 15% เราจะเริ่มมีของเสียสะสม จะเรียกว่าค่าไต ไตเสื่อมระดับสอง สาม สี่ ห้า ตอนที่ไตเราอยู่ระดับห้า เราเหลือเนื้อไตไม่ถึง 5% เพราะฉะนั้นเนปฟรอนที่ข้างหนึ่งเคยมีล้านหน่วย มันเหลือไม่ถึงห้าหมื่น  และหน่วยห้าหมื่น มันก็รองรับชีวิตเราไม่ได้ ถ้าเรายังกินอยู่แบบเดิม เราจึงต้องใช้เครื่องมาฟอก หรือฟอกทางหน้าท้อง เพราะฉะนั้น เพื่อให้คนไทยไม่เดินไปถึงจุดนี้ ไม่เดินไปถึงจุดต่ำกว่าห้าหมื่น เราต้องรีบแก้ไข เราจะแก้ได้อย่างไร เราต้องรู้เหตุและปัจจัยมัน มีทั้งหมด 12 ข้อ ซึ่งโดยทั่วไปเรารู้แค่งดเค็ม

ข้อแรกที่เป็นปัจจัยสูงสุด ที่ทำให้คนไทยต้องเข้าเครื่องฟอกไต  (Hemodialysis) ก็คือ เบาหวาน ครึ่งหนึ่งของคนที่ฟอกไต มีเบาหวานเป็นสาเหตุ เพราะเบาหวานก็คือ การที่น้ำตาลในเลือดสูง หลอดเลือดฝอยเสีย เช่น หลอดเลือดที่ตา หลอดเลือดที่ไต ทุกอย่างทุกที่เสื่อมหมดเลย แต่ที่ไตมันจะเห็นผลเร็ว อันที่สองคือโรคความดันโลหิตสูง อันนี้เป็นเบอร์สอง ที่ทำให้คนไทยต้องฟอกไต และไตเสื่อม และข้อที่สามได้แก่ ยารักษาโรค ตัวที่ทำให้เสื่อมเร็วมากสุดก็คือยาแก้ปวด เดี๋ยวนี้คนไทยปวดทั้งวัน ปวดตั้งแต่หัวจรดเท้า กินยาแก้ปวดตลอด มันก็เลยทำให้ไตเสื่อม ก็จะเห็นเวลาเข้าโรงพยาบาลไปพบหมอ หมอแยกส่วน หมอแผนกหนึ่งก็จ่ายยาชุดหนึ่ง หมออีกแผนกหนึ่งก็จ่ายยาชุดหนึ่ง แต่ร่างกายเรารวมศูนย์ร่างกายเราไม่ได้แยกส่วนตามห้องหมอ และสุดท้ายผู้ที่รับภาระหนักก็คือไต รับยามาทุกแผนกและใช้ยามาเป็นเวลานานๆ ก็เลยทำให้เราไตเสื่อมด้วย ปัญหาโรคไตเสื่อมจากพันธุกรรม เดี๋ยวนี้พบว่า บางคนไตเล็ก บางคนมีโรคถุงน้ำพวงองุ่น โพลีซิสติค พวกนี้มีต้นทุนต่ำตั้งแต่แรก เนปฟรอนมีน้อย แต่ถ้าท่านรู้จักประหยัดใช้นะ ท่านก็สามารถอยู่ได้ เจ็ดสิบ แปดสิบปี โดยไม่ต้องฟอกไตด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยการรู้จักถนอมไตให้มันเสื่อมช้าสุด ด้วยหลักอาหารที่ถูกต้อง ด้วยการกินที่ไม่ทำร้ายไต และด้วยการทำให้โรคเบาหวานความดัน ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยา  มันสามารถลดได้ โดยไม่ต้องใช้ยา และข้อสำคัญมันมาจากอาหารกลุ่มสอง สาม สี่ ซึ่งเป็นอาหารยา เรียกว่ากินอาหารให้เป็นยา เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องใช้ยาเคมี ถ้าท่านเป็นเบาหวาน ท่านไม่รักษา ไม่กินยา ไม่ทำอะไรเลย ท่านก็ต้องฟอกไตอยู่ดี เพราะเบาหวานก็ทำให้ไตเสื่อม  ไปกินยาเบาหวานนานๆ ก็ต้องฟอกไตจากยาที่กินเข้าไปด้วย แต่ถ้าท่านเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา ท่านหลุดวงจรได้เลย เพราะว่ามันไม่มีเหตุทำร้ายไต

การที่คนเราป่วย แล้วต้องเข้าโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะมีความเครียดจากโรคทางกาย บางรายจะถูกการขู่จากโรงพยาบาลสารพัด ทำให้เกิดความเครียดทางใจเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ถ้าได้รับการพูดคุย อธิบายจากหมอจนเกิดความเข้าใจดี จะทำให้โรคนั้นหายออกจากใจได้ในขั้นแรก หมดความเครียด เพราะเข้าใจตัวเอง เข้าใจโรค แสดงว่าคนเราบางทีไม่ได้กลัวอะไร กลัวความไม่เข้าใจ พอเกิดความเข้าใจปุ๊บ มันบำบัดตัวเองแล้ว มันจะแก้ได้ คือผู้ที่มีอารมณ์เครียด ยิ่งเครียดยิ่งเสื่อม

โรคแพ้ภูมิตัวเองก็รุนแรง เดี๋ยวนี้เป็นโรค IGA เยอะ ภูมิคุ้มกันทำร้ายไตตัวเอง หรือเป็นภูมิคุ้มกัน ทำร้ายตัวเองที่อื่น แต่ต้องไปกินยากดภูมิ กินสเตียรอยด์ ไตก็เสื่อมอีก การบำบัดมะเร็งด้วยเคมีบำบัด ก็เร่งให้ไตเสื่อม ผู้ที่กินอาหารโปรตีนสูง ข้อนี้สังคมรับรู้น้อยมาก เดี๋ยวนี้อายุเยอะ หลายคนรักพ่อแม่ ไปซื้อโปรตีนผง โปรตีนสำเร็จรูปให้แม่กิน พ่อกิน ปรากฏว่าค่าไตขึ้นปรี๊ดเลย ไตลดระดับลงเร็วมาก จากระดับสาม มาสี่ มาห้า เร็วมากเลย อายุเยอะไม่ต้องเอาซิกแพ็คแล้ว บางคนพยายามจะเล่นกล้าม เอาซิกแพ็คอีก ต้องคุมโปรตีน การคุมโปรตีนมีหลักง่ายๆ คือถ้าไตท่านอยู่ระดับหนึ่ง กินได้ไม่เกินห้าร้อยกรัมต่อวัน ถ้าระดับสองนี่สี่ร้อยกรัม ระดับสามนี่สามร้อยกรัม ระดับสี่นี่สองร้อยกรัมก็พอ ตัวนี้เป็นเรื่องสำคัญ วิธีแก้คือใช้ตัวช่วยตัวหนึ่ง คือลดโปรตีนแต่ไปเสริมกรดอะมิโน กินกรดอะมิโนเพียวๆ เลยแล้วอร่อยด้วย มันก็ทำให้เราไม่ขาดกรดอะมิโน การกินโปรตีนคือกินเพื่อเอากรดอะมิโน อันนี้เป็นการใช้หลักอาหารทดแทน เพื่อทำให้เราปรับอาหารให้ง่ายขึ้น เพื่อจะดูแลไต ลดเค็มจัด แน่นอน ถ้าเค็มจัดมาก ไตก็ทำงานหนัก แต่ไม่ควรขาดเกลือ ควรให้คนไข้รู้จักสมดุลในการกินเกลือ ไม่ใช่ให้งดเกลือ หมอบางคนใจร้ายให้งดเกลือเลย คนไข้ขนเกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลาออกจากบ้านหมด ครอบครัวมองตาปริบๆ เป็นครอบครัวจืดทั้งบ้านและขาดเกลือด้วย ทำให้ทุรนทุรายมาก เป็นการกินที่ลำบากมาก แล้วบางคนอเนจอนาถกว่านั้น คือเมื่อเกลือในเลือดต่ำ โซเดียมต่ำมาก คุณหมอสั่งเกลือเม็ดให้มากิน บางคนกินวันละหกเม็ด ผมบอกโอ้โหพี่ กินเค็มมากเลยหกเม็ด เพราะว่าโซเดียมในเลือดเหลือ 120 ซึ่งต่ำกว่าค่าปกติไม่มาก ซึ่งค่าปกติในเลือดไม่ควรต่ำกว่า135 คุณหมอเลยให้กิน เกลือเม็ด ซึ่งความจริงแล้วไปเพิ่มความเค็มในการปรุงอาหารที่จะรับประทาน จะดูดีกว่ามาก

ส่วนข้อสิบ พอสูงอายุแล้วไตเสื่อมหมด ถ้าจะกลับมาเป็นปกติทำได้อย่างเดียวให้ไปเกิดใหม่  คือไตเสื่อมก็ปล่อยให้มันเสื่อมไป แต่ถ้าเราแก้ปัจจัยอื่น คนที่อายุ 120 ปี มันก็ยังมีเกินห้าหมื่น ยังไงมันก็อยู่ได้ อย่าไปเร่งตัวอื่นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกังวลเรื่องสูงอายุแล้วไตเสื่อม กังวลข้ออื่นที่มันแก้ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันตีบตันที่อื่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เกิดบอลลูนต้องคอยระวังเรื่องไตเสื่อม ไตติดเชื้อบ่อย ไตมีนิ่วต้องคอยระวัง วิธีเดียวที่จะรู้ได้ ไม่ต้องรอบวม ไม่ต้องมีอาการพวกนี้ควรตรวจเช็คค่า BUN/Creatinine อย่าปล่อยให้ฉี่เป็นฟองเพราะมีโปรตีนรั่วออก ก็ฝากๆ พี่ๆ น้องทุกคนในที่นี้ว่า การกินอาหารถูกต้อง มันจะแก้โรคที่บรรยายมาสองชั่วโมงนี้ได้ กินถูกชนิดก่อน สองถูกจำนวน สามยังไม่พอ ถูกวิธีปรุงด้วย สี่ ถูกลำดับขั้นด้วย มีอยู่ในคู่มือเปลี่ยนอาหารเป็นยา ก็อยากให้คนไทยได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้น ปาฐกถา สองชั่วโมงนี้  ก็ได้มาพูดท่ามกลางหมู่มหาบัณฑิต ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นไกด์ไลน์ ให้ทุกท่านนำไปใช้ แล้วก็น่าจะมีส่วนช่วยกันส่งเสริม ให้ความรู้นี้แพร่หลายออกไป ไม่มีอะไรที่ friendly มากเท่ากับอาหาร แล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เราเกิดโรคได้มากมายเท่ากับอาหาร ฉะนั้นการเปลี่ยนอาหารให้เป็นยาได้ จะช่วยคนไทยทั้งประเทศ คนไทยทั่วหล้า มีสุขภาพดีได้ และข้อสำคัญ คนที่ไตเสื่อมจำนวนหนึ่ง มันจะสัมพันธ์กับโรคมะเร็งด้วย เพราะว่าค่า BUN ที่สูง มันเป็นสารก่อมะเร็ง เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถควบคุมมันได้ตั้งแต่แรก สักโรคหนึ่งเราก็จะไม่เป็นหรือถึงแม้เราพลาดพลั้งเป็นไปแล้ว เรายังสามารถใช้กระบวนการทางร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้



การบรรยายปาฐกถาสวัสดิ์ สกุลไทย์ ครั้งที่ 23 
เรื่อง “เปลี่ยนอาหารให้เป็นยา เปลี่ยนคนไทยทั่วหล้าให้สุขภาพดี” โดย นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์
เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ
ผู้เรียบเรียง  
ศาสตราจารย์เกียรติคุณสมทรง  เลขะกุล

คลังความรู้

บทความสาระน่ารู้ หมวดอื่นๆ